วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2559

[CA3-I08] โปรโมทแอนโธ Warcraft-Trinity

//////////////////////////////////////////////////

ก่อนที่สงครามระหว่างมนุษย์กับออร์คจะเกิดนานแสนนาน  ในความทรงจำเก่าแก่ของออร์คเฒ่านามกูลดาน  ภาพของคนผู้หนึ่งยังคงแจ่มชัดในความทรงจำแม้เวลาจะผ่านมาแค่ไหน....

โหดร้าย  แข็งแกร่ง  และโดดเดี่ยวอย่างที่ไม่มีใครเทียบ

ออร์คมักจะติดตามผู้นำเผ่าที่กล้าแกร่งและยิ่งใหญ่  น่าแปลกที่กูลดานอยากจะติดตามรับใช้บุคคลผู้นี้แม้ไม่ใช่ออร์คก็ตาม

เป็นที่รู้กันว่ากูลดานนั้นเจ้าเล่ห์และน่ารังเกียจหาที่เปรียบไม่ได้  ซึ่งมันคือสิ่งที่ออร์คตนนี้เป็นอยู่แต่ต้นแล้ว  ก่อนมันจะได้รับเวทเฟลจากชายหนุ่มผู้ที่มันเรียกขานว่าเป็น ‘อาจารย์’  เวทลึกลับที่แผดเผาและกัดกินพลังชีวิตสิ่งรอบข้าง  แต่กลับทำให้มันแข็งแกร่งกว่าออร์คตนไหน ๆ  ชายชาวมนุษย์เลี้ยงกูลดานไว้ดูแลความเรียบร้อยและกำจัดออร์คตนอื่นที่เข้ามาวุ่นวาย  แม้สายตาที่ชายหนุ่มเหลือบมองกูลดานผู้คุกเข่าอยู่แทบเท้าเขาแทบจะไม่ต่างจากการมองหนอนแมลงเท่าไหร่  แต่มันกลับยิ่งเคารพเทิดทูนอีกฝ่ายจนถวายชีวิตให้ได้

หากข้าพาพวกเจ้าไปที่นั่นได้...ทั้งหมดจะกลายเป็นของข้า...


//////////////////////////////////////////////////


ตัวอย่างของ The Curse ฟิคชั่นที่เราไปร่วมแอนโธ Warcarft : Trinity ร่วมกับคุณ @hojo และคุณ @Eve มาล่ะะะะ 

เป็นแอนโธคอมิค/ฟิคชั่นเกี่ยวกับสามสหาย คิงเลล์น เมดิฟห์ และ โลธาร์ ใน Movie Vers. 
(เป็นชิพสามเส้าจริงๆนะ ถึงในตัวอย่างจะดูไม่ใช่--)

วางที่บูทI08 งาน Comic Avenue ถ้าสนใจก็ไปเล็งๆได้นะเออ งานคอมิคดีมีคุณภาพรับประกัน!
ส่วนฟิคก็..ถ...ถ้ามีใครตามอ่านฟิคเราแล้วซื้อไปก็จะดีใจมากนะ /เขิน

ใบเมนูล่ะ สนใจตัวอย่างคอมิคก็จิ้มลิงค์ผู้ร่วมแอนโธด้านบนได้เลย


แล้วเจอกันที่งานCA นะ♥

วันศุกร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2559

[ROTG fic+fanart] Falling into Quicksand(sandman/pitch black)

วันนี้สนองนี้ดส์คู่โคตรแร์(และโคตรผิด.....ผิดมาก)
มันคือคู่ Quicksand....sandman/pitch black(boogeyman) จาก rise of the guardians
ป๋า//การ์ตูนเด็กมันก็ยังจะจิ้นตนาการ//ปิดหน้า
ไปดูเรื่องนี้มา สนุกแล้วก็ภาพสวยมากกกกก แจ็คหล่อ นอร์ธเท่ บันนี่ย์น่ารัก ทูธขำ แซนดี้น่าขยำและพิทช์น่ากด//เอ๊ะ
ไม่ได้ตั้งใจทำร้ายจินตนาการใสซื่อของเด็กๆนะจ๊ะ ม๊วพพพ
ก็แค่ว่าในเเรื่องมันดูเคมีคู่กันแล้วน่าร๊ากน่ารักแค่นั้นเอง
เสะเอสถือแส้กับเคะใจน้อยซึนเอาแต่ใจ//ผิดส์

sandmanที่ดูน่ารักเรียบร้อยอ้วนกลมนุ้ยยุ้ยอารมณ์ดีที่จู่ๆก็เอสใส่พิทช์ได้อย่างหนุกหนาน
และพิทช์ที่เปิดตัวมาได้ร๊ายร้ายอลังการแต่ลงท้ายแบบน่ารักน่าสงสารยังไงไม่รู้//โปรดนึกถึงโลกิ
แต่ฟิกนี้เป็นฟิกโศกสลดนะ....ทำไมหว่า คู่ที่เห็นว่าน่ารักๆตรูข้าต้องเอามาเขียนAngstทุกทีเบยยยยย
อาวล่ะ.....ไม่พูดพร่ำทำเพลง อ่านเหอะ
///////////////////////////////////////////////////////////////

Title : Falling into Quicksand(ชื่อสิ้นคิดตามเคย....ทรุด)

Rate : PG13

Genre : Drama/Angst

Pairing: sandman/pitch black(boogeyman)หรือสลับข้างก็มะรู้ววว

Vers: Rise of the guardians Movie vers.

//////////////////////////////////////////////
Falling into Quicksand
ย้อนไปในครั้งโบราณกาล ยามที่เผ่าพันธ์มนุษย์ยังไร้ซึ่งสำเนียงภาษา ศาสนาหรือขนบประเพณีใดที่ปรุงแต่งให้มีอารยธรรม และจิตวิญญาณธรรมชาติที่อารักษาพวกเขายังมีเพียงหยิบมือ
สิ่งมีชีวิตดำรงอยู่ด้วยสัญชาติญาณเบื้องต้นอย่างความกลัว ความมืดคือสิ่งที่น่าหวั่นเกรง เมื่อราตรีมาเยือนหลังอาทิตย์ลับขอบฟ้า สีดำสนิทโรยตัวแผ่อาณาเขตกว้างไกล หาใช่เพียงหลบซ่อนเร้นในใต้เตียงหรือซอกมุมหลืบเร้นเฉกเช่นปัจจุบัน
พิทช์ แบล็ค หรือที่คนยุคหลังเรียกขานว่าบูกี้แมน คือราชาผู้อยู่บนบัลลังก์ที่สร้างจากความหวาดผวาในความมืดและฝันร้ายอันน่าเกรงขามนั่น
เขาควบคุม ครอบครอง และในขณะเดียวกัน คุ้มครองเหล่ามนุษย์ให้รอดพ้นจากภยันตราย ภายใต้คำเล่าลือบอกต่อวาดภาพถึงภูติผีปิศาจและสัตว์ร้ายที่เร้นกายอยู่ในความมืดมิด
ความกลัวต่อสิ่งที่จะมาพรากชีวิตทำให้มนุษย์รวมตัวกันอยู่ในแสงสว่างเล็กน้อยที่ตนสร้าง หลบซ่อนในหลืบถ้ำและถ่ายทอดความหวาดกลัวในตัวเขาผ่านเรื่องเล่าสยดสยองเพื่อข้ามผ่านค่ำคืนไปอย่างปลอดภัย
ในช่วงแรกๆพิทข์สนุกสนานกับการหยอกล้อเหล่ามนุษย์ขี้กลัวนั้นให้หวาดผวาเล่นในรูปเงาจากกองไฟบนผนังถ้ำ ในลมหวีดหวิวที่ไหวผ่านซอกผา หรือในแสงสะท้อนของดวงจันทร์ที่ฉายลงบนดวงตาของสัตว์ป่า
แต่เมื่อเวลาผ่านไปเนิ่นนาน พิทช์เริ่มชินชาต่อการละเล่นเก่าๆ ความหวาดกลัวจนตัวสั่นคือสิ่งเดียวที่เขาได้รับจากเหล่ามนุษย์ทำให้เขาเบื่อหน่าย เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าสีหม่นมัวใต้แสงเดือนสาดฉายแล้วเอ่ยปากถามชายในดวงจันทร์
เหมือนที่ผ่านมาหลายชั่วกาล จันทรายังคงเงียบงันไร้สรรเสียงขานตอบเขาเช่นเคย พิทช์ละสายตาจากเบื้องบนแล้วทอดมองห้วงอากาศมืดมิดที่ครอบคลุมรอบกายอย่างเหน็ดเหนื่อย
แสงสะท้อนเรื่อเรืองที่พลิ้วไหวในสายลมดึงดูดให้บุรุษแห่งฝันร้ายเพ่งมองมันอย่างไม่วางตา ละอองฝุ่นเรืองแสงที่เรียงตัวเป็นกลุ่มก้อนในอากาศดูแปลกตากว่าควันไฟที่เขาเคยเห็น พิทช์เคลื่อนกายตามความมืดที่ซ่อนเร้นในถ้ำหินเพื่อมองหาที่มาของกลุ่มหมอกนั้น
สุดเส้นสายสีทองเจือจางหยุดลงที่ส่วนลึกของซอกหลืบที่คนถ้ำพำนักอยู่ เขามองเห็นร่างเลือนลางขนาดเท่าเด็กชาวโลกร่ายปลายมือลงบนสายฝุ่นบางเบาที่ปกคลุมอยู่เหนือร่างที่หลับไหล ใบหน้าของเด็กน้อยที่ต้องผงนั้นดูคล้ายจะยิ้มเรื่ออย่างน่าประหลาด
และพิทช์รับรู้ว่าความหวาดกลัวความมืดของมนุษย์นั้นเจือจางลงจนเขาสัมผัสได้ พิทช์ย่างเข้าไปหาสิ่งนั้นด้วยท่าทางคุกคาม เขากล่าวคำถามเสียงกร้าวอย่างขัดเคือง "เจ้าคือใคร"
รูปลักษณ์บางใสที่เกิดจากฝุ่นควันสีทองนั้นแย้มยิ้มให้แล้วกล่าวด้วยเสียงที่ไม่ดังกว่าเม็ดทรายเสียดสีกันเท่าไหร่
"ข้าคือความฝัน........นามนั้นคือแซนด์แมน " ก่อนที่เงาเลือนรางนั้นจะสลายหายไปในอากาศ
ทิ้งให้พิทช์ขมวดคิ้วพลางคิดอย่างแคลงใจ เขาไม่ได้พบกับภูติอารักษ์อื่นใดมาหลายร้อยปีแล้ว สิ่งแปลกปลอมที่ดูจะคุกคามตัวตนของเขาที่มาเยือนนั้นคือสิ่งใด
ความฝัน....... สิ่งปลอบใจมนุษย์นั้นจะช่วยอะไรสิ่งมีชีวิตน่าเศร้าเหล่านั้นได้
เทพแห่งความหวาดผวาแตะนิ้วลงเก็บเม็ดฝุ่นสีทองเล็กจ้อยที่ตกอยู่ก่อนกล่าวเสียงเหยียดหยัน
"บุรุษแห่งเม็ดทรายงั้นรึ ข้าว่าชื่อธุลีดินดูจะเหมาะกับเจ้ามากกว่า"
.............................................
คราต่อมาที่เขาได้พบกับเทพแห่งฝันอีกครั้งก็หลังจากนั้นไม่ถึงร้อยปี พิทช์สังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงของแซนด์แมนที่เขาลอบมองจากระยะไกล จากร่างเด็กน้อยพร่าเลือนสีซีดจางที่เคยเห็นกลับกลายเป็นร่างเด็กชายที่ทั่วร่างส่องประกายระยิบระยับจนตาพร่า
เส้นสายของทรายสีเรื่อเรืองที่พลิ้วไหวอย่างมีชีวิตชีวาในสายลมโยงเข้าสู่ห้วงนิทราของมนุษย์ที่เริ่มสร้างอารยธรรมขึ้นมาในหมู่ตน ความสุขในฝันที่ซับซ้อนกว่าแค่การกินอิ่มนอนหลับอย่างปลอดภัยปรากฏขึ้นบนหมอกสีทองที่บุรุษทรายสรรสร้าง
พิทช์ปรากฏร่างขึ้นเบื้องหน้าแซนด์แมนอีกครั้งด้วยท่าทางเคืองแค้นเช่นเคย แต่ครานี้อีกฝ่ายกลับมีท่าทีนิ่งสงบไม่ถอยหนี ยิ่งทำให้เจ้าแห่งความมืดยิ่งเดือดดาลจนดวงตาสีเหลืองทองวาบวามด้วยแรงโทสะ
"เจ้าถือดียังไงจึงสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับของในปกครองของข้า...."
เขาอ้าปากจะกล่าวต่อแต่แซนด์กลับเพียงส่งยิ้มบาง แตะนิ้วที่ริมฝีปากเป็นท่าทางราวกลัวเสียงของพิทช์จะปลุกเด็กมนุษย์ในกระท่อมให้ตื่นจากนิทรา
ก่อนหันกลับไปสนใจกับงานเบื้องหน้า ราชาแห่งฝันร้ายสุดทนจึงเอื้อมมือไปดึงตัวผู้หาญกล้าเมินเฉยตนให้หันกลับมาหา
ทันทีที่ปลายนิ้วซีดขาวของพิทช์สัมผัสผิวกายที่เคลือบคลาด้วยทรายละเอียดนั้น ประกายแวววาวกลับหม่นมัวลงจนเปลี่ยนเป็นสีดำด้าน ทรายสีหม่นมืดนั้นเคลื่อนจากมือที่ถูกยึดไว้รุกรานไปตามร่างกายของแซนด์อย่างรวดเร็ว ริ้วดำทมึนที่พาดผ่านผิวสีทองจนเป็นลวดลายน่าสยดสยอง
ด้วยความตระหนกทำให้เขาปล่อยแขนอีกฝ่ายจากพันธนาการ ทั้งสองตนยืนนิ่งค้างอยู่ท่ามกลางหมอกละอองสีเทาที่ทิ้งตัวลงสู่พื้น เสียงร่วงหล่นของเม็ดฝุ่นทำให้เทพแห่งฝันดีคืนสติพร้อมถอยห่างจากร่างตรงหน้า
ประกายแสงที่ค่อยๆกลับคืนมาอย่างช้าๆบนผิวสีทองทำให้พิทช์ถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว เขาหยุดนิ่งจ้องมองการเปลี่ยนกลับนั้นด้วยความหวาดหวั่นทำให้บุรุษทรายมองกิริยาของเขาอย่างประหลาดใจ
"ท่านแปรเปลี่ยนทรายฝันของข้าได้" แซนด์เอ่ยปาก เสียงใสที่แจ่มชัดกว่าในความทรงจำดึงพิทช์กลับมาจากห้วงคำนึง "บางทีข้าและท่านอาจมีหัวใจคล้ายคลึงกัน"
เทพแห่งฝันกล่าวต่อเมื่อเทพแห่งความมืดมีสีหน้าเหมือนถูกเอาไปทิ้งไว้กลางแดดเที่ยงวัน "ข้าหมายถึง แก่นแท้ ของตัวตนน่ะ ท่านและข้าเหมือนมีบางอย่างที่เชื่อมโยงกัน....อาจเป็นความฝันก็เป็นได้"
พิทช์หัวเราะเยาะเย้ย "ความฝันรึ....ฝันโหดร้ายสยดสยองของข้ามีส่วนเหมือนฝันฟุ้งเฟ้อหลอกลวงของเจ้าตรงไหนกัน"
เด็กชายในแสงสีทองยิ้มร่า "อย่างน้อยท่านกับข้าก็มีตัวตนอยู่เพียงในยามราตรีเหมือนกัน"
มือเล็กเรียวยื่นมาหาจนร่างสูงเผลอก้าวถอยหลัง "และเป็นผู้ปกป้องมนุษย์ร่วมกัน"
"ข้าแซนเดอร์สัน แซนด์แมน หรือหากจะเรียกว่าแซนด์เฉยๆก็ไม่ขัด"
พิทช์กระอักกระอ่วนกับไมตรีที่อีกฝ่ายมอบให้ทั้งๆที่เขาเกือบทำให้แซนด์แปรสภาพกลายเป็นอะไรที่ดูเลวร้าย
"ข้าไม่เคยพบเทพารักษ์คนอื่นเลยตั้งแต่เกิด" เทพฝันคว้ามือเย็นชืดของพิทช์ไปจับไว้ มือน้อยนั้นอบอุ่นและนุ่มนวลจนราชาฝันร้ายไม่อยากให้ปล่อยมือ "มาทำความรู้จักกันไว้เถิด" แซนด์ส่งเสียงใสพร้อมแย้มยิ้ม
ปลายนิ้วเล็กๆที่เริ่มเปื้อนความมืดดำจากผิวสีหม่นของพิทช์ทำให้เขาสะดุ้งตัวถอยออกห่าง ร่างสูงสะบัดมือแล้วหันหลังหนี "ข้าไม่ต้องการ.......พิทช์ แบล็ค ราชาแห่งฝันร้ายเช่นข้าอยู่คนเดียวได้"
พิทช์ก้าวเข้าสู่เงาดำที่จะพาเขากลับสู่อาณาจักรของตน "คราวหน้าจงอย่าโผล่หน้ามาให้ข้าเห็นอีก" แต่เสียงใสที่ไล่หลังมาก่อนความมืดจะครอบคลุมทำให้เขาผุดยิ้มออกมา "แล้วพบกันคราวหน้า พิทช์"
เทพฝันร้ายก้มลงมองนิ้วมือเย็นซีดของตนที่มีผงทรายติดอยู่บางเบา ดูเหมือนเขาจะหลงรักสีทองเรืองรองสวยงามและเกลียดสีดำด้านที่ผสมในเม็ดทรายนี้อยู่พอๆกัน
.............................................
ศาสนาและขนบประเพณีที่ซับซ้อนของมนุษย์ก่อให้มีการเกิดของเทพอารักษ์ใหม่ๆ เขาถูกลดบทบาทลงไปเมื่อความน่ากลัวของราตรีถูกทำลายโดยแสงไฟที่มนุษย์สรรสร้าง แต่พิทช์ไม่ได้ใส่ใจนักแม้ชื่อเสียงของตนจะหลงเหลืออยู่เพียงแต่ในเรื่องเล่าขาน
เขาเหน็ดเหนื่อยจนด้านชากับความมืดที่เต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องและภาพสยองขวัญในห้วงความฝันของชายหญิงทั้งหลายแล้ว ยิ่งอารยธรรมก้าวหน้าแต่ฝันร้ายของมนุษย์กลับยิ่งเลวร้ายจนน่าเบื่อหน่าย
นอกจากการดำรงอยู่อย่างเงียบเชียบในปราสาทมืดของตน ตอนนี้เขาขอได้แค่หยอกล้อเด็กเล็กๆจากมุมมืด ใต้เตียงหรือในตู้เสื้อผ้า ทำให้วิญญาณบริสุทธิ์เหล่านั้นหวาดผวาเล่นแก้เบื่อเป็นบางครั้งก็พอใจ
จะว่าไปเขาก็มีงานอดิเรกอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เพลิดเพลินใจจนไม่ต้องเอาเรื่องนั้นมารกสมอง ในช่วงหนึ่งของทุกวัน พิทช์จะเคลื่อนกายออกจากที่พำนักมาแฝงอยู่ในเงามืดของยามค่ำ จ้องมองท้องฟ้าที่มืดมิดลงเรื่อยๆอย่างรอคอย
ริ้วทรายสีระยับที่เคลื่อนคล้อยในบรรยากาศ แผ่อาณาเขตของแสงจนท้องฟ้าเจือไปด้วยสีทองสว่างราวจันทร์เพ็ญฉาย ท่ามกลางกลุ่มเมฆที่สร้างจากทรายสีทองปรากฏร่างเด็กหนุ่มที่ขยับมือพลิ้วไปมาอย่างเพลิดเพลิน
งดงาม ปราณีต และตรงเวลา แซนด์แมน บุรุษแห่งราตรีที่มาทำหน้าที่รังสรรความฝันอันสวยงามให้กับผู้อยู่ในห้วงนิทรา บุรุษแห่งความมืดลอบมองใบหน้ายิ้มแย้มนั้นอย่างเงียบๆ
น่าเสียดายแทนเหล่ามนุษย์นักที่ไม่ได้มองเห็น ความสวยงามของภาพฝันหลากหลายที่แซนด์ปั้นแต่งเสกสร้างตามความต้องการของแต่ละคน บนสายหมอกสีทองเส้นนั้นคือป่าใหญ่ ส่วนของเส้นนี้คือสายรุ้ง และเส้นนั้นคือสวนดอกไม้ที่แสนอ่อนหวาน
พิทช์มองตามริ้วทรายนับร้อยที่เคลื่อนย้ายไปตามการเคลื่อนไหวมือของแซนด์ ก่อนที่จะหยุดสายตาลงบนเส้นหมอกสายหนึ่ง
ทรายสีทองที่ก่อรูปเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างละเอียดอ่อน ม้าตัวน้อยที่เหยาะย่างไปในอากาศอย่างเริงร่า ความงดงามที่ยวนตาทำให้พิทช์เผลอจับต้องมันอย่างไม่รู้ตัว
เพียงพริบตาความเรืองรองที่วูบหายทำให้เขาตกใจ ทรายสีดำที่แผ่ขยายเมื่อสัมผัสมือไปใกล้ทำให้เด็กหนุ่มตรงใจกลางกลุ่มทรายหันมามอง
"พิทช์?" เสียงกังวานที่เรียกขานทำให้เทพฝันร้ายชะงักระหว่างการเร้นกายเข้าสู่เงา ใบหน้าผ่องใสที่เคลื่อนเข้ามาหาทำให้พิทช์นิ่งค้างอยู่ตรงหน้าเส้นทรายที่เริ่มเป็นสีดำ
"ท่านจริงๆด้วย" เด็กหนุ่มยิ้มเผล่อย่างดีใจจนเขาสับสนเพราะคาดว่าคงโดนอีกฝ่ายตำหนิเรื่องทำให้ความฝันเสียหาย "ไม่ได้เจอกันเสียนาน" แซนด์กล่าวทักเสียงสดใส
"สามร้อยกว่าปีมันไม่นานสำหรับข้าหรอก เจ้าเด็กน้อย " เขากล่าวเสียดสีไปก่อนจะพยายามเดินหนี "ข้างานยุ่งไม่มีเวลามาเล่นกับเจ้าหรอก"
"แล้วของที่ท่านเล่นค้างไว้จะให้ทำไง " เด็กหนุ่มโบกมือเรียกสายหมอกที่แปรสภาพเป็นสีดำสนิท พิทช์ที่ไม่รู้จะทำหน้าเช่นไรกล่าวมุบมิบ "ข้า.......ขอโทษ"
เทพฝันดีมองภาพนั้นก่อนยิ้มกว้าง"ความฝันข้าสร้างเป็นพิเศษตามแต่ละผู้ฝัน ดังนั้นทรายกลุ่มนี้จึงเป็นของท่านแล้ว พิทช์" แล้วยัดเยียดเส้นหมอกความฝันให้
พิทช์เพ่งมองทรายความฝันที่แปรสภาพไปเป็นสีดำมืดเต้นเร่าอยู่บนฝ่ามือ ลูกอาชาร่างผอมบางจ้องเขากลับด้วยดวงตาสีเหลืองจัดของมัน ลมหายใจที่พ่นออกมานั้นเป็นสายควันเขม่ามัว
"จริงสินะ ฝันน่าเกลียดเช่นนี้เจ้าคงไม่อยากเก็บไว้" เขากล่าวเสียงขัดเคือง แต่ทว่าเสียงสดใสของเด็กหนุ่มทำให้เขาเงยหน้ามามอง"ข้าว่ามันน่ารักเหมือนท่านออกจะตาย"
แซนด์กล่าวพร้อมยื่นนิ้วมาย้อหยอกม้าพยศในมือของพิทช์ แล้วหัวเราะขำขันเมื่อเจ้าม้าทำท่าจะงับเข้าที่ปลายนิ้ว
"เอาล่ะ คิดว่าได้เวลาที่ข้าต้องไปทำงานบ้าง บังเอิญว่าข้าไปนู่นมานี่ในพริบตาเดียวแบบท่านไม่ได้ซะด้วย" เทพความฝันโบกมือเรียกกลุ่มเมฆก่อนกล่าวลา "จนกว่าจะพบกันใหม่ ฝากดูแลเจ้าตัวแสบนั่นด้วยนะ พิทช์"
พิทช์ แบล็คมองแสงสีทองที่เคลื่อนผ่านไปจนลับสายตา แล้วหันมามองเจ้าสัตว์ร้ายในมืออย่างรักใคร่
"อืม....ฝันดีแรกของราชันย์แห่งฝันร้ายงั้นรึ......ข้าให้ชื่อเจ้าว่า ไนท์แมร์ ก็แล้วกัน"
.............................................
ฤดูกาลเปลี่ยนผันไปจนลูกม้าน้อยเติบใหญ่เป็นอาชาตัวงาม แม้เขาพยายามจะไม่ให้ไนท์แมร์สูดเอาความกลัวอันเป็นอาหารหลักของมันบ่อยเกินไปก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงของมันทำให้เขารำลึกถึงผู้มอบให้ขึ้นมาเล็กน้อย
เขามองดูลูกโลกเวลาที่บ่งบอกยุคสมัยภายนอกที่ตนไม่ได้ออกไปสำรวจมาเนิ่นนาน  วันเวลาที่เคลื่อนมาในช่วงชีวิตนิรันดร์ของเขาผ่านไปอย่างเร็วรวดจนไม่อาจรู้เองว่าตอนนี้เวลาไหน ยิ่งช่วงนี้ที่โลกมนุษย์ช่างวุ่นวายด้วยสงครามยิ่งทำให้เขาไม่อยากขึ้นไปสัมผัส
คริสตศักราชที่ 1940? การนับปีที่มนุษย์เป็นผู้ตั้งบ่งบอกมาว่าผ่านมาแล้วหลายร้อยปี บางทีอาจเป็นเวลาที่เหมาะสมกับการออกไปยืดเส้นยืดสายข้างบนแก้เบื่อหน่ายบ้าง พิทช์แอบหวังในใจอีกอย่างว่าอาจได้พบกับเทพแห่งฝันก็เป็นได้
โลกเบื้องบนไม่ต่างไปจากที่เขาเคยพบมามากนัก ผิดกันที่ว่าความมีชีวิตชีวาอันวุ่นวายแปรเปลี่ยนเป็นเงาแห่งความตายที่ครอบคลุม ไนท์แมร์สูดดมกลิ่นความกลัวที่ลอยฟุ้งทุกหย่อมหญ้าอย่างอิ่มเอม
อา...............สงครามสินะ การเข่นฆ่า ทำลายล้าง ความสิ้นหวังและหวาดผวาที่แม้ไม่เอื้อมมือเขาเข้าไปหา เหล่ามนุษย์ผู้น่าสมเพชก็ต้องทรมานกับฝันร้าย
ฝันร้ายที่แม้แต่แซนด์แมนสักสิบสักร้อยตนก็ยังไม่อาจช่วยไล่เงามืดที่ครอบงำแน่นหนาด้วยแสงสีทองริบหรี่อันนั้นได้
ก่อนที่พิทช์จะหันหลังพาฝันร้ายคู่ใจกลับไปสู่อาณาจักรแสนสงบของตนอย่างเหงาหงอย ไนท์แมร์หยุดสูดลมหายใจเข้ารุนแรง แลัวทะยานพุ่งไปสู่ความมืดข้างหน้าจนพิทช์เกือบคว้าไว้ไม่ทัน
"ไนท์.....มีอะไร"
ราชันย์แห่งฝันร้ายลูบแผงคอสีดำของมันเพื่อให้คลายการพยศ แต่เจ้าม้าดิ้นรนจนหลุดจากการควบคุมของเขาได้ พิทช์ส่ายหน้าก่อนเคลื่อนกายตามมันไปอย่างเหนื่อยหน่าย
ไนท์แมร์หยุดเท้าของมันลงใต้ท้องฟ้าสีมืดหม่น แสงสีทองริบหรี่ที่สาดส่องบนฟากฟ้าทำให้พิทช์ใจเต้น ภาพเบื้องหลังของร่างที่ยืนบนกลุ่มเมฆทรายทำให้เขารู้ว่าเทพความฝันเปลี่ยนไปเป็นชายหนุ่มเต็มวัยแล้ว
เส้นหมอกบางส่องแสงเรืองทั่วท้องฟ้าขยายอาณาเขตกว้างใหญ่กว่าที่เคยเห็นมาเป็นไหนๆ เขายืนนิ่งอย่างตะลึงงันกับภาพเบื้องหน้า ก่อนจะเห็นความผิดปรกติเมื่อสายทรายแต่ละเส้นแสดงเพียงพร่ามัวของใบหน้ามนุษย์
เส้นนี้เป็นภาพประตูที่เปิดอ้ารับแสงสว่าง เส้นนั้นเป็นภาพกลุ่มคนที่น่าจะเป็นครอบครัวยิ้มกว้างยื่นมือมา อีกเส้นคือร่างของนางฟ้าปีกสีขาวที่อ้าวงแขนราวจะโอบกอดต้อนรับ
พิทช์เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มหมอกสว่างสไว แซนด์ทอดตามองเขาอย่างรำลึกได้ก่อนยิ้มบาง....รอยยิ้มที่โศกสลดอย่างที่พิทช์ไม่เคยพานพบ
เจ้าแห่งฝันร้ายเปิดปากเพื่อส่งเสียงเรียกบุรุษแห่งเม็ดทราย แต่ชายหนุ่มยกปลายนิ้วขึ้นมาไว้ที่ริมฝีปากอย่างเชื่องช้า เรียวปากยกยิ้มหม่นประดับบนใบหน้าเศร้าขยับช้าๆอย่างไร้สุ้มเสียง
อย่า-ส่ง-เสียง-พิทช์...................ปล่อย-ให้-พวกเขา-หลับใหล
ไนท์แมร์สูดลมหายใจรับความกลัวที่ส่งกลิ่นออกมาจากสิ่งก่อสร้างสูงใหญ่ที่ปิดทึบคล้ายป้อมปราการ พิทช์สัมผัสได้ถึงฝันร้ายที่แผ่พุ่งออกมาบอกความหมายให้เขารู้
ว่าเหล่ามนุษย์หลังกรงขังเหล่านี้จะได้หลับใหลในราตรีนี้เป็นคืนสุดท้าย...........ก่อนความตายจากการสังหารหมู่จะมาพรากจาก
ดวงตาสีทองสว่างรินหยดน้ำใสที่ซึมหายไปบนผิวพื้นทรายของใบหน้าแซนด์รวดเร็วจนพิทช์แทบมองไม่ทัน.....แต่ภาพตรงหน้านั้น คือแซนด์แมนกำลังร้องไห้
นี่-คือ-ครั้ง-สุดท้าย-ที่-เขา-จะ-ได้-ฝัน-ดี
เทพแห่งฝันจบประโยคช้าๆก่อนผันมือปลดปล่อยทรายรอบตัวออกไปทุกทิศทุกทาง....สายเส้นแสงที่พุ่งผ่านมากมายจนพิทช์คาดว่าอาจทำให้แซนด์เป็นอันตรายได้ เขาขยับกายจะเคลื่อนเข้าไปหา
เสียงทุ้มนุ่มที่บุรุษทรายเอ่ยปากเป็นคำพูดออกมาก่อนฝุ่นทรายสีทองจะจางหายไปในบรรยากาศ
"จนกว่าจะพบกันใหม่ พิทช์"
นั่นคือครั้งสุดท้ายที่เขาได้ยินเสียงของแซนเดอร์สัน แซนด์แมน
.............................................
นั่นคือก่อนที่เขาจะปล่อยให้ไนท์แมร์แตกตัวเพิ่มพูนด้วยการสูดเอาความกลัวทั้งหมดจากเบื้องบนเข้ามาอย่างหิวกระหาย
ก่อนที่เขาจะเผยแพร่ฝันร้ายที่โหดเหี้ยมสยดสยองที่สุดเท่าที่เคยเป็นมาเพื่อทำลายล้างค่ายเชลยนั้นลงจนราบคาบอย่างกราดเกรี้ยว
และคือก่อนหน้าที่เขาจะถูกขับไล่จากตำแหน่งภูติอารักษ์ ถูกขังไว้ในอาณาจักรโลกมืด ต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในซอกหลีบเงาไปตลอดกาล
โดยไม่คิดว่าจะได้พบกับแซนเดอร์สัน.......แซนดี้ ที่เข้าร่วมกับกลุ่มผู้พิทักษ์กลุ่มใหม่ที่ต่อต้านการยึดครองสิทธิ์อันชอบธรรมของเขาคืนมาอีกครั้ง
คงเป็นเวลาที่เขาควรส่งมอบทรายความฝันที่แซนด์แมนฝากไว้คืนกลับไปแล้วสินะ........
พิทช์ แบล็ค บูกี้แมน ราชันย์แห่งฝันร้ายคิดพลางเอื้อมมือขึ้นขึงลูกศรสีดำที่ปลายของมันถูกเล็งไปที่แผ่นหลังของแซนเดอร์สัน แซนด์แมน บุรุษแห่งความฝัน
"หวังว่าเราจะไม่ต้องพบกันใหม่อีกครั้งนะ.......แซนด์"
///////////////////////////////////////////////////////////////
หรือควรจะชื่อเรื่องว่า "การเลี้ยงต้อยของบูกี้แมน" //ผิด
จริงๆในเนื้อเรื่องพิทช์นี่มีอายุยาวนานที่สุดเพราะเกิดมาคู่กับการมีอยู่ของมนุษย์เลยก็ว่าได้
แต่ตอนนี้ตกอับต้องไปอยู่ใต้เตียงกับในตู้เสื้อผ้าล่ะะะะะ//โอ๋ๆ
แปะแถมด้วยแฟนอาร์ต
และแถมด้วยสโลแกน............
ใครไม่ชิพ เราชิพพพพพพพพพพพพพพพ
วิ่งหนีไปยยยยยยย
//////////////////////////////////////////////////////////////

[Drabble+Fanart - Hannibal] LOST (Will POV)

ดูซีรีย์ ตอนล่าสุด(11)แล้วก็ลงไปนอนตาย....
 
และได้ Drabble แบบเพ้อๆบวกกับแฟนอาร์ตมาหน่อย
 
รักหมอนะ...แต่เกลียดหมออ้ะ ฮรึ่มมมม
 
Rate:PG
 
Pairing : Hannigram (หรือไม่มีก็ไม่รู้)
 
 
 LOST (Will POV)
 
ผมจำความรู้สึกของการจมดิ่งลงไปสู่เบื้องล่างของน้ำเย็นเฉียบนั้นได้ไม่ชัดเจนนัก
 

มันเป็นความฝัน หรือความจริง...
 

ถ้าจะให้พูดตามตรงผมในตอนนี้ก็ไม่สามารถแบ่งแยกมันได้ดีนัก
 

แต่ความรู้สึกขาดอากาศหายใจและอึดอัดขณะที่ผมกำลังพยายามหายใจอย่างหนักนี่ชัดเจนราวกับเป็นเรื่องจริง
 

แต่อะไรล่ะที่คือเรื่องจริง
 

ความเป็นจริงคือสิ่งที่ประสาทสัมผัสรับรู้ได้ หรือเปล่า........
 

อะไรล่ะคือการรับรู้
 

ประสาทสัมผัสที่รับรู้ อันที่จริงก็แค่สัญญาณที่ส่งผ่านเส้นประสาท ไปสู่สมอง
 

ถ้าหากสมองของผมคิดเห็นสิ่งนั้นไปเองล่ะ
 

ผมจดจำวันเวลาบางตอนไม่ได้ แยกไม่ออกระหว่างการหลับฝันหรือตื่นมีสติ 
 

และบอกไม่ได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเป็นความจริงหรือจินตนาการที่วิ่งผ่านห้วงความคิด
 

ผมเป็นใคร ผมอยู่ที่ไหน ผมทำอะไรอยู่
 

การเฝ้าบอกย้ำเตือนตัวเองของผมอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันดูจะไร้ผล
 

เมื่อคนที่กล่าวคำตอบเหล่านั้นออกมาคือผมเอง
 

ตัวผมที่ไม่สามารถบอกได้แม้แต่ว่า ผม เป็น อะไร............
 

และค่อยๆสูญเสียตัวตนไปเรื่อยๆ ภายใต้ความมืดดำอันเชี่ยวกรากและหนาวเย็นนั่น
 

และรอเพียงใครหรืออะไรซักอย่างที่จะมาดึงผมออกไปจากที่ตรงนั้นเสียที....
 

“I don’t know how to gauge who I am anymore.”
 
 
........................................................
 
มาแบบสั้นๆ เพราะว่าเขียนยาวๆไม่ได้เลย สมงสมอง
 
"It is 14:00 am. I'm on My mind, my name is Poi, and I can't write anything. /sob"

[Drabble(คิดว่า) - Hannibal] 5Sense:1-Sigh

ช่วงนี้ติดซีรีย์    มากอยู่ซักหน่อย แล้ว epล่าสุดนี่มันแบบว่า....
 
/ลงไปนอนตาย
 
เลยกลายมาเป็นDrabbleสั้นๆที่คิดว่าอาจจะมีตอนต่อให้ครบอีก4ตอนล่ะ
 
5Sense คิดว่าจะมีซัก5ตอน Sight,Hearing,Taste,Smell,Touch (แต่อาจเรียงลำดับไม่ตามนี้นะ) เป็น 5 Shade of Hannibal (ฮาาาาา)
 
 
แต่งไว้แสปมในทวิตเตอร์เลยสั้นสุดๆเลย /น้ำตา แต่งฟิคยาวๆไม่ค่อยออกแย้วววว
 
 
5Sense
 
Rate:PG
 
Pairing : Hannigram (ฮันนี่แฮม หรือแฮมฮันนี่ก็ไม่ทราบได้) ฮันนิบาลXเกรแฮม
 
Sigh

ฮัลนิบาล เลคเตอร์ คิดว่าการทำอาหารก็เหมือนการรังสรรค์ผลงานอะไรสักอย่าง ประกอบศาสตร์และศิลป์ในการเนรมิตเมนูแต่ละจาน
 

คัดเลือกวัตถุดิบอันล้ำค่ามาผ่านวิธีการ คำนวณผลการจัดอย่างถี่ถ้วนแม่นยำ และปรุงแต่งอย่างบรรจงในขั้นตอนสุดท้ายให้สมบูรณ์แบบทั้งหน้าตาและรสชาติ
 

ผลงานของเขาบนจานจึงเติมเต็มความต้องการของประสาทสัมผัสทุกด้านได้อย่างสอดคล้อง 
 
 
ดูเอาจากเมื่อเขาได้พบวัตถุดิบอันหายากชิ้นนี้หน่อยเป็นไร...
 
 
วิล เกรแฮม.. ชายหนุ่มผู้ที่เข้ามาอยู่ในการคัดสรรวัตถุดิบของเขาโดยฮันนิบาลมิได้ตั้งใจ 
 
 
รูปลักษณ์ภายนอกที่ดูแสนดาษดื่น และค่อนไปทางน่าหดหู่นั้นกลับซ่อนพรสวรรค์อันล้ำลึกของนักอาชญวิทยากรเอาไว้
 
 
ซึ่งหากทอดตามองไปก็คล้ายวัตถุดิบที่ดูธรรมดาทั่วไปแต่ซ่อนซับรสชาติเลิศล้ำไว้ข้างใน...
 
 
พาลให้เขาคิดถึงความโดดเด่นติดลิ้นของเนื้อสันในกวางที่ได้สัมผัสลิ้มรสมานิดหน่อย..
 
 
แต่การมองด้วยตาอาจยังไม่ทำให้เขารู้ถึงรสชาติสักเท่าไหร่
 
 
เพียงกระตุ้นให้เขานึกถึงกรรมวิธีที่อยากรังสรรค์ผลงาน 
 
 
ซึ่งอาจยังไม่ถึงขนาดต้องการเก็บเกี่ยววัตถุดิบในตอนนี้...
 
TBC
 
กับแฟนอาร์ตนิดหน่อย
 
 
ด้ายแดง(?) วาดไว้ตั้งกะสมัยep1-2ได้..ตอนนี้สายตาในการมองหมอกะวิลเปลี่ยนไปแบ้ววว
 
ถ้ามีอารมณ์(?)แล้วอาจจะมาต่อ Senseอื่นๆละกันนะ /ฮาาา

[Drabble - Attack on Titan] HATE (Mikasa x Annie)

HATE
 
Rate:PG(คิดว่า)
 
Pairing : Mikasa x Annie AOT (ยูริเรื่องแรก /น้ำตาาาา)

"...ปล่อยน่า..มิคาสะ...."
 
 
เสียงเรียบเรื่อยไร้อารมณ์ของแอนนี่ดังก้อในทางเดินใต้ดินของป้อมปราการ กำแพงหินหยาบเย็นที่ขูดขีดกับ
 
ใบหน้าของเธออยู่ตอนนี้หาใช่จะให้สัมผัสที่รื่นรมณ์นัก
 
แต่ลมหายใจอุ่นที่รดต้นคอด้านหลังกลับดึงให้เธอยอมอยู่ในสถานการณ์แบบนี้..นานเกินไปสักหน่อย
 
 
"ชั้นยังไม่ได้ทำอะไรกับเอเลนของเธอเลยซักนิด"
 
 
ยิ้มหยันประดับมุมปากของแอนนี่ ซึ่งหากหญิงสาวที่จับเธอล็อคแขนไว้เห็นคงยิ่งทวีความโกรธแค้นที่พร้อมลงกับเธอได้ตลอดเวลา
 
ดีแล้วที่ไม่เห็น..เธอคิด แต่แอนนี่ก็นึกภาพสีหน้าแววตาของมิคาสะยามนี้ได้
 
 
 
"อย่า..ยุ่งกับเอเลน... "
 
 
 
น้ำเสียงเยียบเย็นที่กระซิบแผ่วต่ำเบื้องหลังทำเอาเย็นเยียบถึงกระดูกสันหลัง
 
แต่ไม่เท่าสัมผัสของคมฟันที่กดลงมาบนผิวหนังด้านหลังคออย่างไม่เบานักนั่นที่เหมือนคำขู่คาดมาดร้าย...
 
 
 
"ชั้นจะเผยตัวจริงของเธอออกมาให้ได้..แอนนี่"
 
 
 
แอนนี่ตัวสั่นเทิ้ม หัวใจเต้นรัวในอก...แต่ไม่ใช่ด้วยความหวาดกลัวแม้แต่น้อย
 
ตื่นกลัว..หรือตื่นเต้น..คาดว่าน่าจะเป็นข้อหลังมากกว่า
 
หญิงสาวตัวเล็กกว่า บิดมือให้พ้นจากการยึดเกาะไพล่หลังไว้ของอีกฝ่ายอย่างไม่ยากนักแล้วหันมาเผชิญหน้า
 
แววตาสีดำวาวโรจน์นั้นเปี่ยมไปด้วยไฟความเคียดแค้นอย่างที่เธอคิด..อย่างที่เธออยากเห็น
 
แอนนี่ประดับรอยยิ้มบนมุมปากอีกครั้งเหมือนต้องการยั่วยุให้เปลวเพลิงนั้นยิ่งลุกโหมมากขึ้นอีก
 
 
"..แต่ถ้าเธอพูดอย่างนี้ก็น่าลองดูแฮะ..."
 
 
มากขึ้นอีก..มากขึ้นกว่านี้...จนกว่าดวงตาทั้งคู่นั้นจะหันมามองที่เธอเพียงคนเดียว...
 
แอนนี่กระชากตัว ดึงใบหน้าอีกฝ่ายเข้ามาจนชิดเพียงลมหายใจ
 
 
"เพราะชั้นเกลียดเธอ..มิคาสะ.."
 
 
ริมฝีปากบางกล่าวก่อนประทับลงบนกลีบปากของอีกฝ่าย...
 
เพียงชั่วครู่ก่อนจะฝังเขี้ยวลงไปรุนแรงจนเลือดซิบ...
 
แอนนี่คิดเมื่อเกลี่ยปลายลิ้นลิ้มรสของเหลวที่เจืออยู่ระหว่างรสจูบนั่น
 
........
 
หวานอย่างที่คิดไว้
 
.......
 
/////////////////////////////////////

[Pacific Rim: Secret Event][Fic]:A tale of two brothers

เอนทรีนี้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม  Pacific Rim: Secret Event 
 
//////////////////////////////////////////////////

 
//////////////////////////////////////////////////

ส...ส่งซิเครทล่ะ /สั่นกึกๆ
ป..เป็นซิเครทแรกที่เคยเล่น ต้องขอขอบคุณแม่งานที่จัดกิจกรรมสนุกๆให้เล่นนะครับ
ได้รีเควสของ @orb01 ล่ะ อร่ากกกกกก ตื่นเต้น ได้ของเซเลปด้วยยย รีเควสตามนี้
ลังเลว่าจะเขียนข้อไหนดี สุดท้ายก็เลือกข้อนี้
5. คู่พี่น้อง (ราห์ลี่กับแยนซี) - ตอนพวกนี้เด็กๆ เล่นเป็นแบบ.. เยเกอร์ปะทะไคจู /แบบนึกออกป่ะที่เวลาเราเล่นเป็นก๊อตซิล่าไปถล่มเมืองเลโก้ #อะไรแบบนั้น555
ก็...จัดไป แบบใสๆมุ้งมิ้ง

//////////////////////////////////////////////////
A tale of two brothers (ชื่อสิ้นคิดมาก /น้ำตาไหลลลล)
Pacific Rim(2013) fanfiction 
Characters/Pairings: Yancy/Raleigh Becket
//////////////////////////////////////////////////

"แยนซี่...แยนซี่... ตื่นสิตื่น"


แยนซี่น้อยยกมือป้อมๆมาขยี้ตาที่เพิ่งจะได้ตื่นเต็มที่ไม่นานนัก อากาศตอนเช้ายังหนาวจนเด็กน้อยอยากจะซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มเพื่อนอนต่อ
แต่เมื่อราลีย์น้อยของเขาเริ่มงอแง ดึงผ้าห่มผืนหนาออกจากตัวเพื่อให้เขาออกมาเล่นด้วยกัน เบ็คเก็ตผู้พี่ที่เคยชินกับการต้องเอาใจน้องชายตัวแสบของตัวเองต้องลุกออกมาอย่างเสียไม่ได้


"อะไรอีกล่ะ..ราลีย์..เจ้าตัวแสบ "


พี่ชายผมทองยื่นมือไปขยี้ผมยุ่งๆของเจ้าเด็กตัวน้อยซะหัวยุ่ง


"เล่นกัน..เล่นกัน.."


ด้วยอายุที่ต่างกันเพียง3ปี แต่บางคนที่เห็นเด็กทั้งสองมักนึกว่าเด็กทั้งสองเป็นฝาแฝด กัน ไม่รู้เพราะอะไรทำให้แยนซีน้อยรู้สึกอย่างเต็มเปี่ยมว่าต้องดูแลน้องชาย
อาจเพราะลักษณะที่ใจเย็น..สุขุมจนเกินวัยของเขา
รวมทั้งนิสัยมุทะลุเลือดร้อนของน้องชายที่ทำให้ละสายตาไปไม่ได้ละมั้งที่ทำให้ต้องคอยตามดูแลไปไม่ห่าง...


"พี่..แยนซี่.. "


เจ้าตัวน้อยเอียงคอมองเขาด้วยแววตากลมใสสีฟ้า พลางเอามือน้อยกระตุกชายเสื้อเขาอย่างเร่งเร้า อันที่จริงถ้าราลีย์น่ารักแบบนี้ตลอดไปการต้องตามดูแลเอาใจคงไม่ใช่เรื่องแย่นัก เด็กน้อยผู้พี่ลุกขึ้นจากที่นอนแล้วนั่งมองน้องชาย


"ไปสิ..เล่นอะไรกันดี?"


เจ้าตัวแสบชูหุ่นของเล่นในมืออย่างภูมิใจ มันเป็นหุ่นจำลองที่ทำตามแบบ Brawler Yukon เยเกอร์ตัวแรกของประวัติศาสตร์ที่ราลีย์กำลังเห่อน่าดู ราลีย์โบกมันไปมาแล้วชี้ไปที่ตู้เก็บของเล่น


"ถล่มไคจูวววว ท่านก็ช่วยเราด้ายยยยย"


เด็กน้อยทำเสียงเลียนแบบสป็อตโฆษณาของกองทัพที่เพิ่งฉายในทีวีพร้อมท่าทาง ทำเอาแยนซีหัวเราะขำออกมา


"โอเคๆ ไป..ไปเล่นกัน เราไปถล่มไคจูกัน"


เด็กชายยิ้มกว้างให้พร้อมยื่นมือไปจะจับหุ่นตัวโปรดของน้องชาย

แต่ราลีย์กลับขมวดคิ้วแล้วเบะปาก เอนตัวหนีแล้วกอดของเล่นไว้อย่างหวงแหน


"..มันขับได้คนเดียว..แยนซีต้องเป็นไคจูสิ"


เบคเก็ตต์ผู้พี่ขมวดคิ้วตาม ถึงอย่างไรเด็กชายทุกคนก็ชอบที่จะเป็นฝ่ายฮีโร่มากกว่าสัตว์ประหลาด


"..แต่คราวที่แล้วพี่เป็นไคจูไปแล้วนา..ผลัดกันมั่งสิ"

"ไม่เอา..ไม่เป็นไคจู..เกลียดไคจู"


น้องชายตัวน้อยของเขาส่ายหน้า ทำท่าจะร้องไห้ แววตากลมใสคลอน้ำตานั่นละที่ทำให้แยนซีต้องยอมสละให้เจ้าน้องชายคนนี้ซะทุกที


"ก็ได้ๆ ไคจูก็ไคจู.."


เด็กชายส่ายหัวแล้วเดินไปหยิบหุ่นไคจูในตู้พร้อมบ่นอุบอิบว่าทำไมถึงขับเยเกอร์ทีเดียวสองคนไม่ได้นะ..เขากับน้องจะได้ไม่ต้องแย่งกันเหมือนทุกครั้ง
แยนซีเอาตัวต่อเลโก้มาต่อเป็นกำแพงเมืองและตึกรามบ้านช่องทีละส่วนๆ วางแผนว่าตึกนี้จะอยู่ตรงนั้นตรงนี้อย่างตั้งใจ
ก็แหม..มันเป็นเมืองที่ไคจูอย่างเขาต้องมาบุกถล่มเชียวนะ..ถ้าให้เป็นเมืองไม่สวยงามสมกับที่จะถูกทำลายแล้วคงไม่ดี
เบคเก็ตต์ผู้น้องจ้องมองเขาด้วยแววตาระยิบระยับ รอว่าเมือไหร่ไคจูตัวร้ายจะมาถล่มทำลายเมืองนี้ให้พินาศซักที ฮีโร่ที่ขับเยเกอร์แบบเขาจะได้ออกมาปฏิบัติการ
จนกระทั่งแยนซีมองครบทุกมุมว่าเมืองนั้นประกอบสวยงามดีนั่นแล้วล่ะ เจ้าไคจูไนฟ์เฮ้ดตัวร้ายถึงออกมาก่อการวุ่นวาย


"ย้ากกกกก ข้าจะทำลายเมืองนี้ให้หมด"


แยนซี่ทำเสียงต่ำๆคำรามแล้วถือหุ่นจำลองไคจูระดับสองหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวเข้าไปทุบทำลายบ้านเมืองเลโก้ที่เขาต่อมากับมืออย่างก้าวร้าว
(อันที่จริงก็แอบเสียดายอยู่เหมือนกัน)
ขณะที่กำลังอินกับบทไคจูชั่วร้ายอยู่ ราลีย์ก็พุ่งโถมตัวเข้ามาเต็มแรงจนแยนซี่แทบเซล้มพร้อมหุ่นเยเกอร์ในมือ


"หยุดนะเจ้าสัตว์ประหลาด ชั้นจะปกป้องเมืองของชั้นไว้เอง!"

"เจ้าทำไม่ได้หรอก..ข้าเก่งกว่า ฮ่าๆๆ"


เด็กชายสูงวัยกว่ายืดมือที่ถือหุ่นไคจูขึ้นสูงๆหนีจากการโจมตีของน้องชายตัวน้อยที่ตัวยังสูงไม่ทันเขา ราลีย์ยืดสุดมือรวมเขย่งแล้วก็ยังไม่ถึงตัวสัตว์ประหลาดในมือพี่ชายเด็กน้อยเริ่มมุ่นคิ้วขมวดแล้วออกเสียงอย่างขัดใจ


"ขี้โกงนี่..ไคจูขี้โกง..แยนซี่ขี้โกง..เกลียดแล้ว.."


เด็กชายอ่อนวัยกว่าเริ่มเบะปากร้องไห้ เอาหุ่นตีๆเขาแล้วบ่นโวยวาย แยนซี่หน้าเสีย ขมวดคิ้วแล้วลดมือลงเอาหุ่นไคจูให้แต่น้องชายตัวน้อยของเขากลับเริ่มร้องไห้ไม่ยอมหยุด
สงสัยจะง่วงนอนไม่ก็หิวแล้วล่ะมั้ง คนเป็นพี่ชายคิดก่อนจะย่อตัวลงเอามือลูบๆผมสีทองของเจ้าเด็กขี้แยตรงหน้าเหมือนจะปลอบใจ


"ราลีย์..ราลีย์..คนเป็นเรนเจอร์เขาไม่ร้องไห้กันหรอกนะ.."


ได้ผล..น้องชายเขาเริ่มลดเสียงร้องไห้ลงมาเป็นเพียงสะอึกสะอื้นเล็กน้อย แต่ยังฝืนตัวเมื่อเขาจะกอดเข้ามาหาตัว


"ราลีย์เกลียดไคจูเหรอ.." พี่ชายเอ่ยถามเสียงนุ่มนวล

"...ฮื่อ" น้องชายพยักหน้าหงึกๆแล้วเอาหลังมือปาดน้ำตา ดูจากการขยี้ตาไปมานั่นทำให้แยนซีรู้ว่าการงอแงครั้งนี้ของราลีย์น่าจะมาจากความง่วงนอน

"ถ้าเกลียดไคจู..ก็ต้องเข้มแข็ง..จะเป็นทหารต้องไม่ร้องไห้จะได้ไปปราบไคจู"


แยนซียิ้มให้อีกฝ่ายที่พยายามหยุดร้องไห้อย่างสุดชีวิต ราลีย์น้อยเชิดหน้าขึ้นแล้วทำเสียงฮึดไม่ให้น้ำตาไหลออกมา เด็กชายคนโตกว่าลูบผมเด็กน้อยเบาๆอย่างเอ็นดู


"แล้วพี่ล่ะ..เกลียดพี่เหมือนไคจูรึเปล่า?" เอ่ยถามขำๆเพราะเห็นว่าอีกคนดูจะงอนเขาไม่น้อยจากเรื่องเมื่อครู่


เด็กน้อยหัวยุ่งมองเขาด้วยดวงตากลมโตอยู่สักครู่แล้วส่ายหน้า


"..ไม่เกลียด..ราลีย์ชอบแยนซี..ราลีย์ชอบพี่ชาย.."


เบคเก็ตต์คนพี่ยิ้มกว้างแล้วกอดอุ้มเบคเก็ตต์คนน้องขึ้นมา สบตามองใบหน้าหน้าง่วงๆนั่นละจุ๊บแก้มอย่างหมั่นไส้ไปทีหนึ่ง


"งั้นตอนนี้ทหารต้องไปนอนพักผ่อนก่อน..ตื่นขึ้นมาค่อยมารบกับไคจูใหม่"


แยนซีทำปากจุ๊ๆดุน้องชายนิดหน่อยเมื่อเจ้าตัวเล็กทำท่าจะไม่ยอม


"เราต้องเตรียมตัวเองให้พร้อม..อย่าอวดดีเกินไปจะแพ้ได้นะ..ราลีย์"


ดวงตาสีฟ้ากลมโตจ้องมองหน้าเขาก่อนเอื้อมมือมาแตะใบหน้าแปะๆ


"แยนซีก็ต้องนอนด้วย..ราลีย์จะขับเยเกอร์กับแยนซี..ราลีย์จะสู้ไคจูกับแยนซี"


เด็กชายหัวเราะเบาๆแล้ววางน้องชายตัวน้อยบนเตียงละล้มตัวลงนอนข้างๆ


"โอเค..ไปด้วยกัน..ขับด้วยกัน..ถ้าเยเกอร์มันขับสองคนได้น่ะนะ.."


แยนซียิ้มแล้วลูบผมน้องชายเบาๆเหมือนจะกล่อมให้ราลีย์ที่ดูจะหลับเอาเสียให้ได้หลับตานอนลงเสีย
จนกระทั้งได้ยินเสียงผ่อนหายใจยาวเป็นจังหวะ ปนเสียงงึมงำราวกำลังเล่นเป็นเรนเจอร์นั้นบอกว่าน้องชายตัวยุ่งของเขากำลังหลับไหล
อันที่จริงเขามีเรื่องต้องตื่นนอนไปทำอยู่ตั้งหลายอย่าง แต่มือป้อมๆที่จับยึดแขนเขาไว้ไม่ให้ห่างดูจะไม่ยอมอนุญาต

ถ้าจะนอนพัก..ฝันว่ากำลังขับเยเกอร์ไปพร้อมกับน้องชายก็คงจะสนุกไม่เลว..

แยนซีคิดก่อนจะล้มตัวลงนอนหลับตา เข้าไปร่วมล่องในความฝันที่เขาและน้องชายสองคนพากันบุกตะลุยไล่ล่าศัตรูร้ายของมนุษยชาติ

...โดยไม่ได้คิดว่าในอนาคตความฝันนั้นจะกลายเป็นเรื่องจริงอย่างใต....

...และไม่ได้คิดว่า..อนาคต..จะต้องมีใครคนไหนที่ต้องจากหายไปจากความฝันนั้นอย่างไม่มีวันกลับ...
 
//////////////////////////////////////////////////

 
/นอนตาย....
 
ไม่ได้เขียนฟิคยาวๆ(อันที่จริงก็ไม่ยาวเท่าไหร่)มาซะนานมาก แถมเรื่องนี้ก็เป็นฟิคเรื่องแรกของPacific Rimที่เขียนด้วย ฟฟฟฟฟฟ หวังว่ามายซิเครทจะชอบนะะะะ
 
ถ้าไม่ชอบเดี๋ยวเอาบอสไปปลอบใจ (ผิดล่ะ)