วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2559

(Zootopia fic)Wild Wilde-NickJudy

จิ้งต่าย Zootopia #สปอยแหลก #ใสใสนะ

//////////////////////////////////////////////////////////

ผมนิค นิโคลัส ไวลด์... ตำรวจจิ้งจอกตัวแรก(และน่าจะเป็นตัวเดียวและตัวสุดท้า--)ของ ZPD

ต้องขอขอบคุณยัยหนูจูดี้ ฮอปส์ที่เลือกผมมาเป็นตำรวจคู่หูของเธอ 

ตำรวจ อาชีพอันสุจริตมีเกียรติยิ่งใหญ่..เปลี่ยนแปลงโลกได้บลาๆแบบที่สาวน้อยนั่นชอบท่องอาขยานให้ฟัง

มันก็ดูดีถ้าเงินเดือนตำรวจนั้นไม่แปรผกผันกับงานยิ่งใหญ่ที่ต้องทำ
(สตาร์บัคส์วันละสองแก้วก็หมดแล้ว
แต่ไม่ใช่ว่าผมจะไม่ได้หารายได้อะไรเพิ่มนะ
ps.อย่าบอกแครอทล่ะ)

หลังจากเหตุการณ์ไนท์ฮาวล์เลอร์ผ่านมาหลายเดือน ผมก็ยังเป็นตำรวจคู่หูกับเธอ ที่ทำคดีนู่นนี่ที่ต้องใช้คนตัวเล็กๆอย่างผมและแครอทเข้าไปแฝงตัวสืบข่าว
(อย่างว่า..จะให้สารวัตรโบโกตัวเบิ้มนั่นไปสืบข่าวในลิตเติลโรเดนเทียก็ใช่ที่)

ข่าวลือว่ามียาเสพติดที่ทำจากดอกไนท์ฮาวล์เลอร์เจือจาง ทำเป็นยาหลอนประสาทเม็ดเล็กๆสีฟ้าตั้งชื่อใหม่ซะว่า "go wild"

คงเพราะสัตว์ผู้ล่าบางประเภทก็อยากปลุกสัญชาตญาณสัตว์ป่าของตนขึ้นมา แถมยาถอนพิษก็มี นี่มันแฟนตาซีที่ปลอดภัยชัดๆ(ประชด)

จะว่าไปก็ฮิตไม่แพ้ยาเสพติดของสัตว์ตระกูลแมว "แคทนิป" เลยทีเดียว

ดังนั้นพวกเขาที่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับคดียาในแง่นี้เลยได้รับแฟ้มหนาปึ้กจากสารวัตรควาย... (ผมไม่ได้หยาบคายนะ) ให้มาสืบข่าวเรื่องนี้

โดยมีความช่วยเหลืออย่างเต็มใจจากมร.บิ๊ก

จะว่าไปคงไม่สนุกถ้าลูกน้องหมีตัวใหญ่อาจเกิดคลั่งใส่หนูตัวเล็กๆได้ แม่มร.บิ๊กจะน่ากลัวขนาดไหนก็ตามเถอะ
ตอนนี้ผมเลยต้องมาซุ่มรอการปรากฎตัวของพ่อค้ายาอยู่แถวๆทุนดราทาวน์

หลังจากที่หาวหวอดไปหลายรอบสลับกับจะงีบหลับ ผมก็คิดขึ้นมาได้ว่าควรจะชวนตำรวจคู่หูผู้น่ารักคุยอะไรซักอย่างแก้เบื่อ

"แครอท..เธอคิดว่าไอ้ยานี่มันกินเข้าไปแล้วจะเป็นยังไงนะ"

เธอหันหูฟูๆของเธอมาทางผมข้างหนึ่ง

สายตายังไม่ละออกจากจุดเฝ้าระวังที่ได้รับข่าวมาซักนิดเป็นเวลาหลายชั่วโมงนั่น แล้วกล่าวกระซิบเหมือนกลัวคนร้าย(ที่อยู่ไหนก็ไม่รู้)ได้ยิน

"นายก็เคยโดนเสือดำไล่กัดเพราะดอกไนท์ฮาวเลอร์แล้วไม่ใช่รึไง..ไอ้ยานี่มันก็คงได้ผลพอๆกันนั่นล่ะ"

ท่าทีที่ดูไม่สนใจผมเท่าไหร่นั่นทำให้ผมอยากงับหางปุกปุยๆของเธอเรียกร้องความสนใจสักหน่อย

"ก็นั่นโดนไล่ล่า ไม่ได้เป็นคนไล่ล่าซักหน่อยนี่นา ฉันจะไปรู้ฟีลลิ่งได้ไง"

"ตอนนั้นนายก็เคยลองเล่นบทผู้ล่าคลั่งๆแล้วนี่ เล่นใหญ่ขนาดนั้นอย่าบอกว่าไม่เข้าใจ?"

กระต่ายสาวหันมาหาผมเพื่อกลอกตาอย่างอ่อนใจให้ 

เธอกอดอกยืนแหงนหน้ามองผมด้วยท่าที่เห็นทีไรผมก็อยากย่อตัวลงไปคุยด้วยเพื่อไม่ให้เธอปวดคอ

"นั่นมันการแสดง..เบบี๋ย์ คราวนี้ถ้าเกิดพลาดพลั้งขึ้นมาฉันโดนยัดยาให้กินจะทำยังไง? "

ผมหรี่ตาลงมองเธอยิ้มๆ ตาสบตา
สังเกตตาโตๆแฝงแววดื้อรั้นที่ผมไม่ค่อยได้เห็นในกระต่ายตัวไหนๆ

"เธอจะกลัวฉันรึเปล่า?"

ผมถามไปถึงจะรู้ว่าจะได้คำตอบคำเดิม

"ฉันไม่กลัวนายหรอก สัญชาตญาณในดีเอ็นเออะไรนั่นเป็นเรื่องดึกดำบรรพ์ชัดๆ"

ผมยกมุมปากยิ้มโชว์เขี้ยว กะว่าจะแหย่เล่นสักหน่อย

"แต่ฉันว่า..เธอปลุกสัญชาติญาณในตัวฉันยังไงก็ไม่รู้สิ...ถึงจะไม่ได้อัพยาก็เถอะ"

อาจจะเพราะใกล้จนเกินไป แม่กระต่ายน้อยเลยดูนิ่งๆอึ้งๆผิดธรรมดาที่เธอแสนจะไฮเปอร์

ผมได้ยินเสียงหัวใจเล็กๆ เต้นรัวๆ เหมือนกลัวอย่างนั้นล่ะ..แต่กับเธอคงไม่ใช่มั้ง

"แครอท...ฮอปส์...จูดี้?"

"ไม่...ได้กลัว"

เธอพูดเสียงเบา แววตาตื่นกับจมูกดุ๊กดิ๊กนั่นไม่ได้เข้ากับคำพูดเลยสักนิด

ผมกำลังจะคิดว่าเธอกลัวแล้ว...ถ้าไม่ใช่บนแก้มขึ้นสีเรื่อเป็นแครอท

และเธอก็ไม่ได้ยกเสปรย์ไล่จิ้งจอกขึ้นมาพ่นใส่หน้า

น่ารักจนทนไม่ไหว....อยากจะทำอะไรซักอย่าง...

ไวกว่าความคิด

ผมงับเบาๆลงบนปลายจมูกกระต่ายน้อยไปอย่างทนไม่ได้

......

ก่อนจะได้รู้ว่าขาหลังเล็กๆของกระต่ายนอกจากหมั่นเขี้ยวน่างับแล้วยังถีบได้เจ็บไม่เบา

(MIE-Fanfiction)The Last Masquerade-1

เอนทรี่นี้อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของ 
 
New banner 
และ
 
New banner 
 
//////////////////////////////////////////////////

 
ดองมานานเพิ่งจะได้อัพ
//////////////////////////////////////////////////
The Last Masquerade-1
หนึ่งวันก่อนงานการกุศล "Whitmore's Masquerad Ball"
...............................................................
ซิลเวียนหลุบมองวัตถุชิ้นหนึ่งที่ทอดกายนิ่งบนโต๊ะทำงาน หน้ากากโลหะ สีสันบ่งบอกความเก่าแก่ของมัน ที่เดินทางมาไกลผ่านยุคและไกลผ่านอีกฟากทะเล ถึงเขาจะเป็นคนฝรั่งเศสที่จู้จี้กับงานศิลปะแต่ก็ยอมรับว่างานศิลป์ของญี่ปุ่นอันไกลโพ้นชิ้นนี้สวยจับตา
ไม่ใช่เพียงแค่รูปลักษณ์ของหน้ากาก "ยักษ์" ที่น่าเกรงขามนี้แต่เป็นความรู้สึกที่เขาได้เห็นมัน...รู้สึกเหมือนมองตัวเองในกระจก

"...ปิศาจเหมือนกัน..ว่างั้น?"

รอยยิ้มพรายที่มุมปาก มือกร้านหยิบหน้ากากมาลองสวมทับใบหน้า เตรียมพร้อมเพื่อวันพรุ่งนี้ งานการกุศลจัดโดยมูลนิธิวิทมอร์ ที่ไม่ต้องประกาศบอกองค์กรที่ตามกลิ่นเขาและชาร์ลอยู่ก็คงจะมาเพ่นพ่านอยู่เต็มงาน พวกนั้นระแคะระคายความสัมพันธ์ระหว่างMISและวิทมอร์อยู่เต็มทีจากเรื่องวุ่นวายที่มีเอเจนต์ของฝั่งนั้นมาเกี่ยว...
จากความผิดพลาดของเอซออฟไดมอนด์ยังผลให้เขาต้องเสียเพชรน้ำงามอย่างมีอาไป เขารู้ว่าชาร์ลคงไม่พอใจที่จะเสี่ยงให้ความลับในโลกมืดของตัวเองต้องเปิดเผย 
แต่ซิลเวียนไม่แคร์แล้ว
หมากเกมนี้ดำเนินมาจนใกล้จุดจบ เขาเสี่ยงเพื่อจะแลกกับศึกสุดท้ายนี้
ซึ่งผลมีเพียงแต่เขากับอีกคนเดียวเท่านั้นที่จะรู้ผลได้

ซึ่งแน่นอนว่าคุณต้องมาใช่ไหม...มิสเตอร์เอ็ม

เสียงเคาะแผ่วเบาดังขึ้นที่หน้าประตูห้องทำงานก่อนประตูเปิดแง้ม ไม่ต้องมองก็รู้ว่าเป็นใคร เพราะคนที่เข้ามาภายในห้องนี้ได้มีเพียงมิสเตอร์เอส หัวหน้าผู้ก่อการร้ายกับมือขวาคนสนิทของเขาเท่านั้น

"...ไคล์?"

ชายสูงวัยกว่าเอ่ยทักชายหนุ่มร่างเพรียวผู้เดินเข้ามาในห้องพร้อมกล่องของในมือ ชายหนุ่มมองเขาด้วยสายตาพิศวงปนขบขัน ก่อนขยับเข้ามายืนเคียงข้างแล้วลูบสัมผัสผิวหน้ากากแผ่วเบา

"คุณอัลหน้าตาเปลี่ยนไปนะครับ.."

ซิลเวียนยิ้มบางใต้หน้ากาก รั้งเอวอีกคนเข้ามาแนบกาย พูดด้วยน้ำเสียงคล้ายหยอกล้อ

"ตอนนี้ชั้นคือปิศาจร้ายต่างหาก.."

เรียกเสียงหัวเราะขบขัน ไคล์ หรือโจกเกอร์ หรือเพชฌฆาตส่วนตัวของเขาถอดหน้ากากออกให้แล้ววางไว้บนโต๊ะ ดวงตาสีฟ้าสบมองเขาวูบหนึ่งเร็วจนไม่ทันเห็นความเศร้าหม่นในดวงตา

"ทุกอย่างสำหรับพรุ่งนี้พร้อมแล้วครับ..คุณอัล..."

ชายหนุ่มผละออกจากอ้อมกอดอย่างนุ่มนวลแล้วถอยมายืนเคียงข้าง คอยรับคำสั่งจากเขาแล้วทำตามเหมือนที่เคยทำมาทั้งชีวิต
แม้สิ่งที่ซิลเวียนต้องการจะเป็นการคร่าชีวิตตนเองก็ตาม

"ครั้งนี้.."

ชายสูงวัยหลับตาลง นึกถึงคนบางคนที่แผดเผาจิตใจเขาให้ร้อนรนตลอดมา

"ชั้นจะจบเรื่องกับไมลส์ซะที.."
...............................................................
เขาลืมตาขึ้นมา
ภาพที่เห็นตรงหน้า..ราวกับนรก...แบบที่เคยเห็นเป็นประจำ
เสียงระเบิด ควันไฟและเถ้าคละคลุ้งคาวกลิ่นเลือดในบรรยากาศทำเอาหายใจลำบาก
ไม่รวมกับความรู้สึกที่เหมือนโดนกระชากหัวใจออกไปทั้งเป็น
ซิลเวียนยืนหลบในมุมมืดของสิ่งหักพัง สายตาพร่าพรางเพราะพิษบาดแผลที่เสียเลือดมากจากการต่อสู้ สอดส่ายมองหาคนที่ต้องการเห็นตอนนี้
หนึ่งคือลูกน้องคนสนิทของเขาที่คิดว่าคงยังปลอดภัย..ไคล์ไม่เคยทำให้เขาผิดหวัง
เสียงลั่นกระสุนดังไม่ห่างนักมาจากห้องโถงที่เมื่อครู่ยังเป็นฟลอร์หรูให้แขกที่มางานเต้นรำได้สนุกสนาน บัดนี้มันกลายเป็นเพียงซากที่ถูกระเบิดจนพังยับเยิน
หางตาเห็นกลุ่มลูกน้องระดับล่างของชาร์ลยิงคุ้มกันคนของตนออกไป
ส่วนเอซออฟคลับส์และฮาร์ทน่าจะหลบไปได้... ไรอันเก่งในการเอาตัวรอดอยู่แล้ว
มิสเตอรเอสนิ่งคิด
ไม่ใช่ฝีมือเขา
ซิลเวียนแน่ใจ MISและชาร์ลไม่มีทางเสี่ยงปะทะตรงๆในงานที่เต็มไปด้วยสายตาของคนภายนอกแบบนี้ บางทีอาจเป็นฝีมือของคนฝั่งเอเจนต์MIE...ไม่ก็มือที่สาม
ชายสูงวัยขยับตัวอย่างยากลำบากจากบาดแผลฉกรรจ์ทั่วร่างกาย ยังดีที่ในสภาพนี้เขารอดการจับกุมจากเอเจนต์ระดับสูงหลายคนมาได้
แม้จะต้องปะทะกันถึงเลือดเนื้อจนมีคนตายคามือเขาไปคนนึง
ซิลเวียนแค่นยิ้มกับโชคชะตาที่หมุนมาเอาคืนเขาเหมือนโรคร้าย
เอเจนต์006...ที่รัก..หรือเกือบเป็นที่รักของมิสเตอร์เอ็มผู้หมายจะจับตัวเขาแบบไม่ต้องจับตาย ซึ่งยังผลให้ตัวร้ายแบบเขาชนะไปด้วยความเป็นพระเอก
โง่ๆแบบนั้น
ทั้งที่อีกฝ่ายฝีมือพอกัน..พอที่จะฆ่าอีกฝ่ายได้ด้วยความเคียดแค้น...ความเกลียดชังที่ซิลเวียนมีต่อคนที่"อาจจะเป็นคนรัก"ของไมลส์
แต่เซอร์กานไม่ใช่คนแบบเขา
ไม่ใช่ผู้ก่อการร้ายที่ฆ่าคนได้โดยไม่ต้องไตร่ตรอง แต่เป็นเจ้าหน้าที่MI6ที่ต้องการควบคุมตัวคนร้ายไปเข้าสู่กระบวนการกฎหมาย
แม้จะมีอะไรหลายอย่างที่ดำมืดภายในคล้ายๆกับซิลเวียนที่บางที..ในอดีต..หากก้าวพลาดเซอร์กานอาจมาเป็นคนในเงามืดแบบเขาก็ได้
และตอนนั้นหากประมือกันอาจเป็นเขาต่างหากที่เป็นฝ่ายพ่าย
แต่ก็อย่างที่ว่า
ฝ่ายที่ต้องการจะฆ่า...กับฝ่ายที่พยายามจะไม่ฆ่า ฝ่ายหลังคงลงมือยากกว่าอย่างช่วยไม่ได้
สุดท้าย...
มีดในมือของซิลเวียนก็เสียดตรงเข้าปลิดชีพเอเจนต์หนุ่มผู้ซื่อตรง...กว่าเขา
...............................................................
หัวหน้าผู้ก่อการร้ายหลบมาอีกทางด้วยขาข้างที่ยังพอใช้งานได้ เขาถูกยิงสกัดไว้หลายนัดที่อาจเจาะเข้าไปจนขาไร้ความรู้สึก
แต่ยังรับไหว.....
เขายังต้องมองหาชายอีกคนหนึ่งอยู่
ผู้ที่เมื่อครู่มองร่างของ006ไม่วางตาด้วยสายตาเหมือนโลกทั้งโลกจะพังทลาย สายตาอันอ่อนโยน ที่มองคนที่รักของตนหมดลมหายใจไปในอ้อมกอด 
นายคงเจ็บปวดมากใช่ไหม...
ซิลเวียนก็เจ็บปวด
ที่สายตาแบบนั้นไม่ได้มีไว้เพื่อเขาอีกแล้ว

กลุ่มควันหนาทึบบดบังสายตา
รอบข้างยังมีการยิงสวนปะทะกันระหว่างฝ่ายเอเจนต์และผู้ก่อการร้าย กระสุนปืนในมือซิลเวียนถูกใช้ยิงโต้ตอบฝั่งตรงข้ามหลายคนจนใกล้จะหมดไป
เหมือนตัวเขาที่ใกล้จะหมดแรงเข้าทุกที
อยู่ที่ไหน....
ในช่วงตอนสุดท้ายของสติที่ใกล้จะริบหรี่
ซิลเวียนไม่รู้ว่าสายตาที่มองผ่านม่านควันนี้ต้องการใครกันแน่
คนที่ทำให้เขาต้องมาอยู่ในสภาพนี้
หรือคนที่จะมาช่วยเขาไปจากที่นี่กันแน่...
ไมลส์.......
ไคล์.........
...............................................................
ชายผู้คลั่งแค้นจนแผดเผาทุกสิ่งในชีวิตเพื่อมาอยู่ตรงนี้คงไม่ตายเพราะแค่โดนยิงไม่กี่แผล
ดวงตาสีเทากวาดหาเส้นทางที่น่าจะหลบไปได้ ทางซ้ายมีปืนของใคร..หรือศพไหนซักศพตกอยู่
ซิลเวียนกัดฟัน ลุกขึ้นอีกครั้งแล้วขยับออกไปคว้า
สายตากลับมองเห็นเงาร่างเคยคุ้นของเพื่อนเก่าอยู่ไม่ไกล

ไมลส์...

เสียงเรียกชื่อขาดห้วงไปในลำคอ ก่อนตะโกนชื่อใหม่

"มิสเตอร์เอ็ม!"

เสียงแหบห้าวดังก้องหมายให้คนผู้นั้นหันกลับมา
เพื่อจะดวลกันตัวต่อตัว
แต่......
เสียงที่ตอบรับกลับมากลับเป็นห่ากระสุนที่ยิงมาจากที่ไหนซักแห่ง
เขาเดินหมากพลาด...ที่คิดว่าตรงนี้มีแค่มิสเตอร์เอสกับมิสเตอร์เอ็ม
และเป็นร่างของเขาเองที่ล้มลงจมกองเลือดตัวเอง
กับขาสองข้างที่หมดสิ้นเรี่ยวแรงจะลุกขึ้น

TBC
 /////////////////////////////////////////////////

น่าจะ TBC ในวันใดวันหนึ่งนะ... /คิดว่า

(MIE-Fanfiction)Your (or Mine) Inception

เอนทรี่นี้อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของ
 
New banner 
กะ
New banner 
ก็เป็นได้......
 
/เก็บมาจากใน Justpaste

"Dreams feel real while we're in them."


เขาถอดแว่นอ่านหนังสือออกแล้วปรายตามองไปที่นาฬิกาโดยไม่รู้ตัว

ใกล้ตีสามแล้ว..

และที่นอนข้างๆตัวเขายังว่างเปล่า..

เขากำลังรอคอยใครสักคนอยู่.. คนที่หลับและตื่นเคียงข้างกันตลอดช่วงที่ผ่านมา

ลูกน้องคนสนิทแสนรัก..คนที่ใกล้เคียงที่สุดในการใช้คำว่าคนรัก

หรืออาจจะไม่ใช่แค่ใกล้เคียงก็เป็นได้..


เวลาป่านนี้แล้ว แต่คนข้างกายเขายังไม่กลับ..

หลังจากหาวออกมาอีกครั้งเขาจึงตัดสินใจว่าตัวเองควรนอนไปก่อนดีกว่า

เอื้อมมือไปปิดโคมไฟหัวเตียง ตาหรี่ปรือเหม่อมองความมืดมิดในห้องก่อนจะปิดลง

เขานอนตะแคงบนที่นอนหนานุ่ม หันหลังให้กับพื้นที่บนเตียงที่รอคอยเจ้าของมันกลับมา..

ราวกับว่าไม่ต้องการมองเห็นความว่างเปล่านั้น


แต่ไม่ช้านาน หลังจากเสียงแง้มประตูแผ่วเบา ตามด้วยน้ำหนักของพื้นเตียงที่ยวบลงเล็กน้อยปลุกให้เขาลืมตาตื่นขึ้น

มือหนาที่เอื้อมมาโอบเขาจากด้านหลังยิ่งทำให้เขายิ้มบางออกมา ทั้งๆที่ง่วงงุนก่อนกุมมือแล้วเอ่ยถาม


"วันนี้งานยุ่งเหรอ..กลับมาซะดึก.. "


แต่ริมฝีปากอุ่นที่จูบคอด้านหลังเขาอย่างบางเบา กลับตอบมาด้วยข้อความที่ทำให้เลือดในกายเขาเย็นลงฉับพลัน


"...ไฟลต์ดีเลย์น่ะ "


เสียงทุ้มที่คุ้ยเคยเกินไปนั่นเป็นของชายผู้ที่ยึดครองพื้นที่ทั้งในหัวใจและสมองของเขาไว้มาเนิ่นนาน

แต่อาจไม่ใช่ด้วยความรัก


ซิลเวียน อัล เซอร์ฮฺวา


ศัตรูที่เขาไล่ตามมาตลอดและคว้าได้แค่อากาศ กลับเป็นฝ่ายเข้ามาหาเขาถึงที่..และถึงตัว

ใกล้แค่ลมหายใจ


เขาข่มสติให้นิ่ง พยายามผ่อนลมหายใจยืดจังหวะชีพจรที่เต้นแรงจนบ้าคลั่ง

นึกถึงปืนคู่ใจที่สอดไว้ใต้หัวนอน

นึกถึงการรับมืออย่างถูกต้องที่เขียนไว้ในในตำรา

นึกถึงการตอบโต้ด้วยท่าทางการต่อสู้มากมายที่เคยได้เรียนมา

แต่สิ่งเดียวที่เขาทำไปคือกล่าวถามเสียงเบาเมื่ออ้อมกอดอุ่นนั้นกระชับตัวเขาเข้าไปชิดอย่างโหยหา


"นาย.. มาทำไม"


เสียงที่ล่องลอยในบรรยากาศนั้นดูหวั่นไหวเกินจะเป็นคำกล่าวของเขาเอง

ราวกับได้เห็นรอยยิ้มมุมปากอันคุ้นเคยในคำตอบรับคำถามที่เขาได้ถามไป


"..คิดถึงนายจนทนไม่ไหวน่ะสิ.. ไมลส์"


ริมฝีปากที่คลอเคลียอยู่ที่ต้นคอ เลื่อนมากระซิบคำหวานให้ฟังที่ข้างหูอย่างแผ่วเบานุ่มนวล

ราวกับเป็นคนรัก..


เขาหันกลับมาหาเจ้าของคำพูดนั้นช้าๆ โดยที่เจ้าของอ้อมกอดที่รั้งตัวเขาไว้ก็ไม่ได้ขัดขืน

ดวงตาสีฟ้าสบกับดวงตาสีเทาอย่างเงียบงัน

ใบหน้าคุ้นเคยที่เคยเห็นในความทรงจำนั้นไม่ต่างไปจากเดิมเท่าไหร่นัก


มีข้อแตกต่างเพียงร่องรอยตามวัยที่หัวคิ้วและหางตา รอยแผลบางเบาที่หางคิ้วซ้าย

และดวงตาแสนเศร้าที่หาแววขี้เล่นแบบในอดีตไม่เจอแม้รอยยิ้มจะประดับอยู่ที่ใบหน้า

เขาจ้องมองมันไม่วางตา..


ก่อนจะยกปืนในมือที่เพิ่งคว้ามาจากใต้หมอนเล็งไปที่ใบหน้าของอีกฝ่าย..

และแตะปลายนิ้วที่ไกปืน.. เตรียมยิง
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

2.

ดวงตาสีเทาที่คุ้นเคยของอีกฝ่ายที่ในคราแรกดูราวผิวน้ำในบ่อลึก...มืดสนิท..เรียบนิ่ง..ไร้ประกาย..ไร้ความเคลื่อนไหว

ฉานฉายแววของความรู้สึกที่เขาไม่เข้าใจว่าคืออะไร

วูบแววที่คล้ายพบสิ่งที่ตามหา..แต่มองอีกด้านก็เหมือนสูญเสียสิ่งนั้นไปในเวลาเดียวกัน

ชายผมทองจ้องมองใบหน้าของเขานิ่งนานเหมือนที่เคยมองมาเสมอ

ยิ้มประดับเรียวปากนั้นหม่นลงเล็กน้อยก่อนเอ่ยคำถามเรียบเรื่อย


"...คราวนี้ตัดสินใจได้แล้วหรือ..ไมลส์..ว่าจะยิงหรือไม่ยิง "


ปลายกระบอกปืนที่เล็งยิงในมือเขาครานี้หาได้มีความสั่นไหวเช่นวันวาน..แต่ภายในนั้นกลับสั่นไหวยิ่งกว่า


"นายคิดว่าการกล้าทำแบบเดิมซ้ำสองจะทำให้ผลเป็นแบบเดิมเหรอ..อัล?"


ปลายท้ายเสียงคำที่ไม่ได้เอ่ยเรียกมาเนิ่นนานเรียกความปวดหน่วงแปลกๆขึ้นในอก

คนตรงหน้ายิ้มยวนก่อนกระชับอ้อมกอดเข้าหา กดหน้าผากแนบผิวโลหะเย็นเฉียบราวไม่ใส่ใจ

น้ำเสียงทุ้มนั้นยังกล่าวเหมือนล้อเล่นต่อไป


"ก็คิดว่า..ไม่สิ หวังว่า..ถ้าเป็นไมลส์ของชั้น ผลอาจจะออกมาเป็นแบบเดิม"


ดวงตาสองคู่สบมองกันนิ่ง..คู่หนึ่งถามคำถาม แต่อีกคู่กลับไม่สะท้อนคำตอบ


"แต่คนตรงนี้จะยังใช่ไมลส์คนนั้นหรือเปล่านะ..."


ชายผมดำขมวดคิ้วก่อนถอนหายใจ กล่าวตอบไปด้วยรอยยิ้มแบบที่ได้ฝึกฝนมาอย่างดี


"ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว.. ตอนนี้นายคือเป้าหมายการทำงานของชั้น..ก็รู้นี่"


เขายันตัวขึ้นจากที่นอนพร้อมขยับมือเป็นสัญญาณให้ลุกขึ้น

อีกฝ่ายยิ้มแล้วลุกตามอย่างไม่ยินดียินร้าย ก่อนชูมือสองข้างเป็นเชิงว่ายอมแพ้


"อืม..รู้.. แต่ทั้งๆที่รู้ก็ยังคิดว่านายจะไม่ยิง... "


ร่างสูงเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ ใบหน้าก้มลงคลอเคลียข้างหูราวไม่กลัวว่าจะถูกปืนที่แนบอยู่ที่อกลั่นไกเข้าใส่..
.
แล้วเอื้อมมือไปกอบมือที่กุมปืนไว้อย่างแผ่วเบา


"แล้วนายมาทำไม?"


เขาถามย้ำเสียงเข้ม ขืนมือที่เล็งยิงไว้ไม่ให้สั่นไหว

ในสมองคิดคำนวณเหตุผลมากมายในการมาเยือนของเพื่อนเก่าตรงหน้า

รอยยิ้มที่ประดับเพียงริมฝีปากแต่ไม่ถึงดวงตาของอีกฝ่ายทำให้ห้วงความคิดของเขาติดขัด

จนลืมนึกถึงคนที่เขากำลังรอคอยอยู่ก่อนหน้านี้



"ก็คิดถึง..จนทนไม่ไหว.."



ริมฝีปากคลอเคลียไล่จากใบหูมาที่ใบหน้า จุมพิตแผ่วโหยหา.. อบอุ่นและคุ้นเคยจนเขาต้องหลับตาลงตอบรับสัมผัส


"และ..มีเรื่องอยากถามนายนิดหน่อย.."


กระซิบแผ่วพร้อมจูบนุ่มที่ทำให้เขาเคลิ้มไปอย่างที่เคยเป็นเสมอมา


และไม่ได้รู้ตัวเมื่อมีเสียงเปิดประตูห้องโดยผู้มาเยือนคนที่สาม

ไฟเพดานถูกเปิดขึ้นอย่างกระทันหันจนตาพร่า



"...ไมลส์!!!"  เซอร์กานตะโกน


แล้วพุ่งตัวเข้ามาในทันทีที่ภาพตรงหน้าชัดเจนพอว่าชายคนรักของตนอยู่ในอ้อมกอดของบุคคลอันตราย


ในเวลาเดียวกับที่ปืนอีกกระบอกในเสื้อสูทถูกดึงขึ้นมาเล็งไว้ที่บุคคลที่สาม



"อย่าขยับนะครับ..หนูน้อย..เซอร์กาน.."



ซิลเวียนเหยียดยิ้มมุมปากก่อนหันมาเอ่ยถามเขาด้วยเสียงนุ่ม



"นายจะเลือกใครเหรอ..ไมลส์"



ยิ้มหวานกวนใจนั่นทำให้เขากล่าวถามไปเสียงสั่น


"อัล...นาย..."


ดวงตาสีเทาส่อแวววูบหม่น เสียงถอนหายใจดังขึ้นบางเบาก่อนจบลงด้วยเสียงปืน

และลูกกระสุนที่พุ่งผ่านร่างชายหนุ่มที่เพิ่งก้าวเข้ามาถึงในห้องให้ทรุดลงนอนจมกองเลือด



"ตอบชั้นสิ..ไมลส์..ไม่อย่างนั้น..คนรัก..ของนายอาจตายได้นะ"



เสียงหัวเราะแหบแห้งราวเจ็บปวดที่เสียดแทงโสตประสาตทำให้เข้าต้องรีบตัดสินใจ



"หยุดนะ! อัล อย่าทำแบบนี้"


 เสียงของเขาตอนนี้ที่ตะโกนออกไปโดยไม่รู้ตัว คงสั่นไหวจนเรียกรอยยิ้มเศร้าให้ผุดเพิ่มที่ใบหน้าคนตรงหน้า


แต่เสียงเคลื่อนไกของปืนในมือซิลเวียนทำให้ทั้งร่างของเขาแข็งเกร็ง..เย็นเฉียบราวก้อนหิน

ก่อนที่เขาจะกดปลายนิ้วลงบนไกปืนในมือของตนอย่างไม่รู้ตัว

และเสียงสุดท้ายที่ได้ยินคือเสียงดินปืนที่ระเบิดในรังเพลิงปืน
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.


3.


!!!


เขาผุดลุกขึ้นมาจากเตียงกลางดึกด้วยสภาพเหงื่อท่วมตัว

แต่เสียงที่กระทบโสตประสาทของเขากลับไม่ใช่เสียงปืน

ฟ้าผ่าฝนคะนองนอกห้องที่ได้ยินต่างหากที่ปลุกเขาให้ตื่น


ซิลเวียนมองนอกหน้าต่างเพื่อดูเมืองเวนิสใต้ม่านฝน..มองสายฟ้าแปลบปลาบกับฝนที่ร่วงหล่นพลางนึกถึงฝันเมื่อครู่


ฝัน....สินะ

เป็นแค่ฝัน


เขาถอนหายใจ....ยกมือขึ้นลูบหน้า ความฝันที่เขาไม่อาจบอกได้ว่ามันเป็นฝันดีหรือฝันร้าย

และไม่สามารถบอกได้

ว่าสิ่งใดในฝันที่เขาอยากให้มันเป็นจริงมากกว่า


ระหว่างการลั่นไกเพื่อฆ่า....


หรือถูกฆ่าโดยการลั่นไก....