เอนทรี่นี้อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของ
กะ
"Dreams feel real while we're in them."
เขาถอดแว่นอ่านหนังสือออกแล้วปรายตามองไปที่นาฬิกาโดยไม่รู้ตัว
ใกล้ตีสามแล้ว..
และที่นอนข้างๆตัวเขายังว่างเปล่า..
เขากำลังรอคอยใครสักคนอยู่.. คนที่หลับและตื่นเคียงข้างกันตลอดช่วงที่ผ่านมา
ลูกน้องคนสนิทแสนรัก..คนที่ใกล้เคียงที่สุดในการใช้คำว่าคนรัก
หรืออาจจะไม่ใช่แค่ใกล้เคียงก็เป็นได้..
เวลาป่านนี้แล้ว แต่คนข้างกายเขายังไม่กลับ..
หลังจากหาวออกมาอีกครั้งเขาจึงตัดสินใจว่าตัวเองควรนอนไปก่อนดีกว่า
เอื้อมมือไปปิดโคมไฟหัวเตียง ตาหรี่ปรือเหม่อมองความมืดมิดในห้องก่อนจะปิดลง
เขานอนตะแคงบนที่นอนหนานุ่ม หันหลังให้กับพื้นที่บนเตียงที่รอคอยเจ้าของมันกลับมา..
ราวกับว่าไม่ต้องการมองเห็นความว่างเปล่านั้น
แต่ไม่ช้านาน หลังจากเสียงแง้มประตูแผ่วเบา ตามด้วยน้ำหนักของพื้นเตียงที่ยวบลงเล็กน้อยปลุกให้เขาลืมตาตื่นขึ้น
มือหนาที่เอื้อมมาโอบเขาจากด้านหลังยิ่งทำให้เขายิ้มบางออกมา ทั้งๆที่ง่วงงุนก่อนกุมมือแล้วเอ่ยถาม
"วันนี้งานยุ่งเหรอ..กลับมาซะดึก.. "
แต่ริมฝีปากอุ่นที่จูบคอด้านหลังเขาอย่างบางเบา กลับตอบมาด้วยข้อความที่ทำให้เลือดในกายเขาเย็นลงฉับพลัน
"...ไฟลต์ดีเลย์น่ะ "
เสียงทุ้มที่คุ้ยเคยเกินไปนั่นเป็นของชายผู้ที่ยึดครองพื้นที่ทั้งในหัวใจและสมองของเขาไว้มาเนิ่นนาน
แต่อาจไม่ใช่ด้วยความรัก
ซิลเวียน อัล เซอร์ฮฺวา
ศัตรูที่เขาไล่ตามมาตลอดและคว้าได้แค่อากาศ กลับเป็นฝ่ายเข้ามาหาเขาถึงที่..และถึงตัว
ใกล้แค่ลมหายใจ
เขาข่มสติให้นิ่ง พยายามผ่อนลมหายใจยืดจังหวะชีพจรที่เต้นแรงจนบ้าคลั่ง
นึกถึงปืนคู่ใจที่สอดไว้ใต้หัวนอน
นึกถึงการรับมืออย่างถูกต้องที่เขียนไว้ในในตำรา
นึกถึงการตอบโต้ด้วยท่าทางการต่อสู้มากมายที่เคยได้เรียนมา
แต่สิ่งเดียวที่เขาทำไปคือกล่าวถามเสียงเบาเมื่ออ้อมกอดอุ่นนั้นกระชับตัวเขาเข้าไปชิดอย่างโหยหา
"นาย.. มาทำไม"
เสียงที่ล่องลอยในบรรยากาศนั้นดูหวั่นไหวเกินจะเป็นคำกล่าวของเขาเอง
ราวกับได้เห็นรอยยิ้มมุมปากอันคุ้นเคยในคำตอบรับคำถามที่เขาได้ถามไป
"..คิดถึงนายจนทนไม่ไหวน่ะสิ.. ไมลส์"
ริมฝีปากที่คลอเคลียอยู่ที่ต้นคอ เลื่อนมากระซิบคำหวานให้ฟังที่ข้างหูอย่างแผ่วเบานุ่มนวล
ราวกับเป็นคนรัก..
เขาหันกลับมาหาเจ้าของคำพูดนั้นช้าๆ โดยที่เจ้าของอ้อมกอดที่รั้งตัวเขาไว้ก็ไม่ได้ขัดขืน
ดวงตาสีฟ้าสบกับดวงตาสีเทาอย่างเงียบงัน
ใบหน้าคุ้นเคยที่เคยเห็นในความทรงจำนั้นไม่ต่างไปจากเดิมเท่าไหร่นัก
มีข้อแตกต่างเพียงร่องรอยตามวัยที่หัวคิ้วและหางตา รอยแผลบางเบาที่หางคิ้วซ้าย
และดวงตาแสนเศร้าที่หาแววขี้เล่นแบบในอดีตไม่เจอแม้รอยยิ้มจะประดับอยู่ที่ใบหน้า
เขาจ้องมองมันไม่วางตา..
ก่อนจะยกปืนในมือที่เพิ่งคว้ามาจากใต้หมอนเล็งไปที่ใบหน้าของอีกฝ่าย..
และแตะปลายนิ้วที่ไกปืน.. เตรียมยิง
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
2.
ดวงตาสีเทาที่คุ้นเคยของอีกฝ่ายที่ในคราแรกดูราวผิวน้ำในบ่อลึก...มืดสนิท..เรียบนิ่ง..ไร้ประกาย..ไร้ความเคลื่อนไหว
ฉานฉายแววของความรู้สึกที่เขาไม่เข้าใจว่าคืออะไร
วูบแววที่คล้ายพบสิ่งที่ตามหา..แต่มองอีกด้านก็เหมือนสูญเสียสิ่งนั้นไปในเวลาเดียวกัน
ชายผมทองจ้องมองใบหน้าของเขานิ่งนานเหมือนที่เคยมองมาเสมอ
ยิ้มประดับเรียวปากนั้นหม่นลงเล็กน้อยก่อนเอ่ยคำถามเรียบเรื่อย
"...คราวนี้ตัดสินใจได้แล้วหรือ..ไมลส์..ว่าจะยิงหรือไม่ยิง "
ปลายกระบอกปืนที่เล็งยิงในมือเขาครานี้หาได้มีความสั่นไหวเช่นวันวาน..แต่ภายในนั้นกลับสั่นไหวยิ่งกว่า
"นายคิดว่าการกล้าทำแบบเดิมซ้ำสองจะทำให้ผลเป็นแบบเดิมเหรอ..อัล?"
ปลายท้ายเสียงคำที่ไม่ได้เอ่ยเรียกมาเนิ่นนานเรียกความปวดหน่วงแปลกๆขึ้นในอก
คนตรงหน้ายิ้มยวนก่อนกระชับอ้อมกอดเข้าหา กดหน้าผากแนบผิวโลหะเย็นเฉียบราวไม่ใส่ใจ
น้ำเสียงทุ้มนั้นยังกล่าวเหมือนล้อเล่นต่อไป
"ก็คิดว่า..ไม่สิ หวังว่า..ถ้าเป็นไมลส์ของชั้น ผลอาจจะออกมาเป็นแบบเดิม"
ดวงตาสองคู่สบมองกันนิ่ง..คู่หนึ่งถามคำถาม แต่อีกคู่กลับไม่สะท้อนคำตอบ
"แต่คนตรงนี้จะยังใช่ไมลส์คนนั้นหรือเปล่านะ..."
ชายผมดำขมวดคิ้วก่อนถอนหายใจ กล่าวตอบไปด้วยรอยยิ้มแบบที่ได้ฝึกฝนมาอย่างดี
"ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว.. ตอนนี้นายคือเป้าหมายการทำงานของชั้น..ก็รู้นี่"
เขายันตัวขึ้นจากที่นอนพร้อมขยับมือเป็นสัญญาณให้ลุกขึ้น
อีกฝ่ายยิ้มแล้วลุกตามอย่างไม่ยินดียินร้าย ก่อนชูมือสองข้างเป็นเชิงว่ายอมแพ้
"อืม..รู้.. แต่ทั้งๆที่รู้ก็ยังคิดว่านายจะไม่ยิง... "
ร่างสูงเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ ใบหน้าก้มลงคลอเคลียข้างหูราวไม่กลัวว่าจะถูกปืนที่แนบอยู่ที่อกลั่นไกเข้าใส่..
.
แล้วเอื้อมมือไปกอบมือที่กุมปืนไว้อย่างแผ่วเบา
"แล้วนายมาทำไม?"
เขาถามย้ำเสียงเข้ม ขืนมือที่เล็งยิงไว้ไม่ให้สั่นไหว
ในสมองคิดคำนวณเหตุผลมากมายในการมาเยือนของเพื่อนเก่าตรงหน้า
รอยยิ้มที่ประดับเพียงริมฝีปากแต่ไม่ถึงดวงตาของอีกฝ่ายทำให้ห้วงความคิดของเขาติดขัด
จนลืมนึกถึงคนที่เขากำลังรอคอยอยู่ก่อนหน้านี้
"ก็คิดถึง..จนทนไม่ไหว.."
ริมฝีปากคลอเคลียไล่จากใบหูมาที่ใบหน้า จุมพิตแผ่วโหยหา.. อบอุ่นและคุ้นเคยจนเขาต้องหลับตาลงตอบรับสัมผัส
"และ..มีเรื่องอยากถามนายนิดหน่อย.."
กระซิบแผ่วพร้อมจูบนุ่มที่ทำให้เขาเคลิ้มไปอย่างที่เคยเป็นเสมอมา
และไม่ได้รู้ตัวเมื่อมีเสียงเปิดประตูห้องโดยผู้มาเยือนคนที่สาม
ไฟเพดานถูกเปิดขึ้นอย่างกระทันหันจนตาพร่า
"...ไมลส์!!!" เซอร์กานตะโกน
แล้วพุ่งตัวเข้ามาในทันทีที่ภาพตรงหน้าชัดเจนพอว่าชายคนรักของตนอยู่ในอ้อมกอดของบุคคลอันตราย
ในเวลาเดียวกับที่ปืนอีกกระบอกในเสื้อสูทถูกดึงขึ้นมาเล็งไว้ที่บุคคลที่สาม
"อย่าขยับนะครับ..หนูน้อย..เซอร์กาน.."
ซิลเวียนเหยียดยิ้มมุมปากก่อนหันมาเอ่ยถามเขาด้วยเสียงนุ่ม
"นายจะเลือกใครเหรอ..ไมลส์"
ยิ้มหวานกวนใจนั่นทำให้เขากล่าวถามไปเสียงสั่น
"อัล...นาย..."
ดวงตาสีเทาส่อแวววูบหม่น เสียงถอนหายใจดังขึ้นบางเบาก่อนจบลงด้วยเสียงปืน
และลูกกระสุนที่พุ่งผ่านร่างชายหนุ่มที่เพิ่งก้าวเข้ามาถึงในห้องให้ทรุดลงนอนจมกองเลือด
"ตอบชั้นสิ..ไมลส์..ไม่อย่างนั้น..คนรัก..ของนายอาจตายได้นะ"
เสียงหัวเราะแหบแห้งราวเจ็บปวดที่เสียดแทงโสตประสาตทำให้เข้าต้องรีบตัดสินใจ
"หยุดนะ! อัล อย่าทำแบบนี้"
เสียงของเขาตอนนี้ที่ตะโกนออกไปโดยไม่รู้ตัว คงสั่นไหวจนเรียกรอยยิ้มเศร้าให้ผุดเพิ่มที่ใบหน้าคนตรงหน้า
แต่เสียงเคลื่อนไกของปืนในมือซิลเวียนทำให้ทั้งร่างของเขาแข็งเกร็ง..เย็นเฉียบราวก้อนหิน
ก่อนที่เขาจะกดปลายนิ้วลงบนไกปืนในมือของตนอย่างไม่รู้ตัว
และเสียงสุดท้ายที่ได้ยินคือเสียงดินปืนที่ระเบิดในรังเพลิงปืน
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
3.
!!!
เขาผุดลุกขึ้นมาจากเตียงกลางดึกด้วยสภาพเหงื่อท่วมตัว
แต่เสียงที่กระทบโสตประสาทของเขากลับไม่ใช่เสียงปืน
ฟ้าผ่าฝนคะนองนอกห้องที่ได้ยินต่างหากที่ปลุกเขาให้ตื่น
ซิลเวียนมองนอกหน้าต่างเพื่อดูเมืองเวนิสใต้ม่านฝน..มองสายฟ้าแปลบปลาบกับฝนที่ร่วงหล่นพลางนึกถึงฝันเมื่อครู่
ฝัน....สินะ
เป็นแค่ฝัน
เขาถอนหายใจ....ยกมือขึ้นลูบหน้า ความฝันที่เขาไม่อาจบอกได้ว่ามันเป็นฝันดีหรือฝันร้าย
และไม่สามารถบอกได้
ว่าสิ่งใดในฝันที่เขาอยากให้มันเป็นจริงมากกว่า
ระหว่างการลั่นไกเพื่อฆ่า....
หรือถูกฆ่าโดยการลั่นไก....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น